เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
สภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันได้ชะลอตัวลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก
และมีแนวโน้มถดถอยลงอีกในครึ่งปีหลัง
โดยปัจจัยที่สำคัญมาจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ
และราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
แม้หลายฝ่ายคาดหวังว่าหลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่จากการเลือกตั้ง
เศรษฐกิจไทยน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
แต่กระนั้นภาวะเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งจะยังคงได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางการเมือง
โดยขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำประเทศ
กรณีแรก
พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ
หรือใช้นายกฯนอมินี
(Nominee)
ผมคิดว่าทั้งสองประเด็นนี้ไม่แตกต่างกัน
เพราะประชาชนมีความเข้าใจการเมืองมากขึ้น
ในกรณีนี้ความขัดแย้งน่าจะยังคงอยู่เพราะสาเหตุของความขัดแย้งคือตัว
พ.ต.ท.ทักษิณ
และที่ผ่านมารักษาการนายกฯ
ยังไม่สามารถตอบคำถามคาใจประชาชนได้
เช่น
กรณีผลประโยชน์ทับซ้อน
การขายหุ้นโดยไม่เสียภาษี
การซุกหุ้น
เป็นต้น
หากพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ
หรือใช้นายกฯนอมินี
จะทำให้กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยออกมาต่อต้านอยู่ตลอดเวลา
จนทำให้บริหารบ้านเมืองได้ยากลำบาก
ภาพความขัดแย้งทางการเมืองจะทำให้นักลงทุนและประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล
ในที่สุดอาจย้ายฐานการลงทุนไปประเทศคู่แข่งซึ่งทำให้ไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
กรณีต่อมา
พรรคไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลผสมและทักษิณไม่รับตำแหน่งนายกฯและไม่ตั้งนอมินี
ผมคิดว่ากรณีนี้ไม่น่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรง
เพราะต้นตอของความขัดแย้งไม่มีอีกแล้ว
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่รับตำแหน่งทำให้ฝ่ายต่อต้านหรือกลุ่มทีไม่เห็นด้วยไม่มีเหตุออกมาขับไล่รัฐบาล
ประชาชนและนักลงทุนจะสามารถยอมรับได้ในระดับหนึ่ง
ส่งผลทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าการที่
พ.ต.ท.ทักษิณฯกลับมาเป็นนายกฯ
แต่กระนั้นสังคมอาจจะมีความกังวลว่า
พรรคไทยรักไทยอาจจะกลับลำเปลี่ยนให้
พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ
อีกครั้งได้
กรณีสุดท้าย
พรรคร่วมฝ่ายค้านได้เป็นรัฐบาล
กรณีนี้จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม
เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ได้เป็นชนวนหรือต้นเหตุของปัญหาทางการเมือง
ประกอบกับอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านเน้นนโยบายการปฏิรูปการเมืองซึ่งเป็นความต้องการของสังคม
แม้สังคมอาจกลัวว่าฝ่ายสนับสนุนพรรคไทยรักไทยจะออกมาต่อต้านรัฐบาลที่จัดตั้งโดยอดีตพรรคฝ่ายค้าน
แต่สังคมและสื่อสารมวลคงจะไม่ยอมรับ
เพราะยังไม่มีประเด็นความผิดที่เพียงพอจะเป็นเหตุในออกมาต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ได้
รัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านจึงไม่ต้องคอยกังวลกับเสียงต่อต้านจากประชาชน
ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าทั้งสองกรณีแรก
เศรษฐกิจกับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก
เนื่องจากว่าเศรษฐกิจของประเทศจะดีได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจจากฝ่ายการเมืองที่เข้าไปกำหนดนโยบาย
บวกกับความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การเมือง
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนผู้เลือกตั้งเป็นสำคัญ
|