การประชุมสภาผู้แทนราษฎร
สมัยสามัญทั่วไป
เมื่อวันพุธที่
4
พฤษภาคมที่ผ่านมา
ได้มีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.
2548
โดยผมได้ขอแปรญัตติในร่าง
พ.ร.บ.ดังกล่าวใน
2
มาตราคือ มาตรา
4
ที่ขอตัดงบฯ
3
รายการออกทั้งหมด
และมาตรา
6
ขอตัดนายกฯออกจากการรักษาการตามพ.ร.บ.นี้
ในมาตรา 4
ผมได้ขอให้ตัดงบประมาณ
3
รายการออกทั้งหมด
ได้แก่
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
สำหรับผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านหรือชุมชน
(SML)
และค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนของประชาชน
เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณไม่ตรงกับ
วัตถุประสงค์ของหลักการจัดทำงบรายจ่ายเพิ่มเติม
โดยทั้ง 3
รายการเป็นโครงการที่เริ่มมานานแล้ว
สามารถกำหนดแผนการดำเนิน
และการใช้งบประมาณล่วงหน้าได้
ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการของการจัดทำงบเพิ่มเติม
ที่ควรเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาจำเป็นเร่งด่วน
หรือกรณีฉุกเฉิน
อีกทั้งงบดังกล่าวยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งมีประเด็นที่จำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า
โดยเฉพาะราคาน้ำมันแพง
ซึ่งทำให้หนี้กองทุนน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ
และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นแล้วในไตรมาสแรกของปีนี้
แต่งบประมาณรายจ่ายทั้ง
3
รายการ
ไม่ได้เป็นไปเพื่อการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนดังกล่าว
ทั้งนี้ในมาตรา
6
ได้ขอแก้ไขความ
ซึ่งระบุให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เป็นผู้รักษาการร่วมกัน
โดยแก้เป็น ให้รมว.
คลังเป็นผู้รักษาการตาม
พ.ร.บ.ดังกล่าวเพียงผู้เดียว
การที่นายกฯเป็นผู้รักษาการตามพ.ร.บ.นี้เป็นการไม่เหมาะสม
เนื่องจากเป็นการก้าวก่ายหน้าที่
ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในเรื่องของการสั่งจ่ายงบประมาณ
ทำให้เกิดการใช้อำนาจซ้ำซ้อน
นายกฯมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในการใช้งบประมาณ
และไม่มีการบันทึกการอนุมัติการใช้เงินงบประมาณในมติคณะรัฐมนตรี
อาจทำให้นายกฯ
สามารถตัดสินใจได้โดยลำพัง
ก่อให้เกิดความไม่รอบคอบในการตัดสินใจใช้งบประมาณ
เพราะขาดข้อมูล
ความเห็น
ข้อเสนอแนะ
ซึ่งหากการตัดสินใจในการใช้งบประมาณผิดพลาด
ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศในภาพรวม
ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลยึดถือหลักการในการเสนองบรายจ่ายเพิ่มเติม
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้
เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องในการจัดทำงบประมาณ
เป็นการเรียกศรัทธาของประชาชน
นอกจากนี้การจัดทำงบประมาณควรคำนึงสถานการณ์
เพื่อจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง
และใช้งบประมาณสำหรับสิ่งที่จำเป็นจริง
ๆ
เพื่อให้งบประมาณ
50,000
ล้านบาท
จะถูกนำไปใช้ตรงวัตถุประสงค์
คุ้มค่า โปร่งใส
และตรวจสอบได้
ตามที่ทางคณะรัฐมนตรีเสนอร่าง
พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
พ.ศ.
2548
นี้