เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
“…ฉะนั้นท่านต้องห้ามไม่ให้มีการทุจริตขึ้น
แล้วท่านจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอที่มีประสิทธิภาพ
ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่ง
แช่งให้มีอันเป็นไป
แต่ถ้าไม่ทุจริต
สุจริตและมีความตั้งใจจะทำ
ขอให้ต่ออายุได้ถึง
100
ปี…”
วันนี้
ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการ
(ซีอีโอ)
เมื่อวันที่
8
ตุลาคม พ.ศ.2546
มากล่าวถึง
ด้วยเห็นว่า
ปัญหาสำคัญของบ้านเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานและร้ายแรงกว่าภัยใด
ๆ
ทั้งสิ้น
แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
นั่นคือ
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
ทั้งในแวดวงการเมืองและในระบบราชการ
สิ่งที่ประชาชนฝากความหวังไว้คงจะเป็นความเข้มแข็งของผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระที่หวังว่าจะมีอิสระอย่างแท้จริง
กระบวนการยุติธรรม
และฝ่ายนิติบัญญัติที่เข้มแข็ง
ในฐานะอดีต
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์
และเคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ
(กมธ)
หลายคณะ
พบว่า
แม้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
มาตรา
189
จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดต่าง
ๆ
ขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมาย
ตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาล
เรียกได้ว่าเป็นด่านแรกของการตรวจจับคอร์รัปชัน
โดยมีอำนาจในการพิจารณาสอบสวน
หรือศึกษาติดตามการดำเนินนโยบาย
และการทำงานของรัฐบาลในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้
แต่ตลอดช่วงที่ผ่านมา
กมธ.คณะต่าง
ๆ
ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุสำคัญเนื่องจาก
กมธ.นั้นไม่มีอำนาจเพียงพอในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ในเรื่องง่าย
ๆ อาทิ
การเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล
–
ไม่เห็นความสำคัญ
แม้กมธ.จะสามารถออกคำสั่งเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำ
หรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาอยู่นั้นได้
แต่ปัจจุบันไม่มีระบบจูงใจให้คนที่มาให้ข้อมูลนั้นเห็นความสำคัญว่าต้องมาและต้องให้ข้อมูล
ปัญหาที่พบนั่นคือ
การไม่มาตามนัด
การส่งตัวแทนที่ไม่ทราบข้อจริงมาแทน
การไม่ให้ข้อมูลตามที่
กมธ.ต้องการ
และอาจมองว่า
กมธ.ไม่ใช่ศาล
ไม่มีสิทธิในการซักฟอกและบังคับให้ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่ง
กมธ.ไม่สามารถบังคับได้
ทำให้ข้อมูลที่ได้จากการชี้แจงนั้นมักไม่มีประโยชน์ตามที่ต้องการ
รวมทั้งไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวด
ถ้าข้าราชการไม่มาตามนัด
กมธ.ทำได้เพียงฟ้องหัวหน้างานหรือรัฐมนตรีต้นสังกัด
ซึ่งย่อมมีแนวโน้มได้รับการปกป้องมากกว่า
การขอข้อมูล
-
ไม่ต้องการให้ข้อมูลเชิงลึก
แม้กมธ.จะสามารถออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
แต่หลายครั้งมักจะไม่ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ
โดยเฉพาะข้อมูลที่จะชี้มูลให้เห็นว่ามีการทุจริต
มีความไม่ชอบมาพากลอยู่
โดยมักจะอ้างว่าข้อมูลนั้นเป็นความลับ
เปิดเผยไม่ได้
จึงทำให้
กมธ.มักจะได้เพียงข้อมูลพื้นฐาน
ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือเอกสารที่เป็นประโยชน์อย่างเพียงพอ
ข้อมูลที่จะนำมาเป็นหลักฐานได้นั้นแทบจะไม่มี
และ กมธ.ไม่มีอำนาจใดไปบังคับได้
ปัญหาเช่นนี้ที่เกิดขึ้น
นับเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงานของกรรมาธิการในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
จึงเสนอว่า
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังการเลือกตั้ง
ควรพิจารณาแก้ไขในเรื่องการเพิ่มอำนาจ
กมธ.
ตรวจสอบรัฐบาลให้มากขึ้น
อาทิ
การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ผู้ที่มาชี้แจงกับ
กมธ.เห็นคุณค่าและต้องการมาให้ข้อมูล
เช่น
มีการให้รางวัลหากสามารถช่วยสืบสาวข้อเท็จจริงที่ปกปิดออกมาได้
ให้รางวัลในการสนับสนุนการทำงานของ
กมธ.
การให้ค่าเสียเวลาการทำงานสำหรับเอกชน
เป็นต้น
ในขณะเดียวกันก็ควรเพิ่มบทลงโทษที่เหมาะสม
หากไม่มาให้ข้อมูลตามที่
กมธ.ได้ทำหนังสือเชิญไปโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร
รวมทั้งเสนอว่าควรแก้ไขให้
กมธ.มีอำนาจในการนำข้อมูลหรือเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะตรวจสอบออกมาใช้ได้
การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลของคณะกรรมาธิการทุกคณะจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากมีการเพิ่ม
“อำนาจ”
ในการทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งคาดว่าจะช่วยเปิดโปงความไม่ชอบมาพากล
การทุจริตคอร์รัปชัน
และความไม่โปร่งใสในการดำเนินนโยบายต่าง
ๆ
ให้ประชาชนรับทราบและช่วยกันระงับยับยั้งตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น
|