เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เศรษฐศาสตร์เข้าใจยากจัง
นี่เป็นคำบ่นของหลาย
ๆ คน
ทั้งผู้ที่เคยเรียน
และผู้ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์แต่มีโอกาสได้ฟังเรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์
ซึ่งความจริงแล้วคำพูดดังกล่าวมีส่วนถูกอยู่บ้าง
เนื่องจากแก่นของวิชาเศรษฐศาสตร์มิใช่เรื่องของเนื้อหาสาระและข้อมูล
แต่เป็นเรื่องของวิธีการและเครื่องมือในการคิดชุดหนึ่ง
ดังนั้นผู้ที่ไม่ชอบการคิดที่สลับซับซ้อนจึงอาจรู้สึกว่ายาก
ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวอาจรวมถึงคณะรัฐมนตรีรักษาการณ์ชุดปัจจุบันด้วย
ถึงแม้ว่ารัฐมนตรีทุกกระทรวงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโดยตรง
แต่คุณทักษิณอ้างอยู่เสมอว่า
สถานการณ์โลกในปัจจุบันเป็นยุคของทุนนิยมข้ามชาติและยุคโลกาภิวัตน์
เศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรมีความเข้าใจ
ดังนั้นรัฐมนตรีทุกคนใน
ครม.
จึงควรมีความรู้ในวิชาเศรษฐ-ศาสตร์ขั้นพื้นฐานและรู้จักเศรษฐกิจไทยด้วย
แม้จะไม่ได้รับผิดชอบกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโดยตรงก็ตาม
รัฐมนตรีท่านใดที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์
จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะไปศึกษาหาความรู้จากผู้รู้ทางเศรษฐกิจ
ซึ่งมีอยู่มากมายในฐานะที่ปรึกษาของรัฐบาลรักษาการณ์ชุดนี้
ก่อนที่จะไปปล่อยไก่ต่อหน้าสื่อมวลชน
ตัวอย่างที่ผมขอยกขึ้นมาในบทความนี้
คือการที่รักษาการณ์รัฐมนตรีท่านหนึ่งในรัฐบาลชุดนี้ได้ออกมาตอบโต้อย่างเข้าใจผิด
ต่อกรณีที่
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
(TDRI)
ระบุว่า
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากนโยบายของรัฐบาล
โดย
รักษาการณ์
รมว.ท่านนี้กล่าวว่า
ถ้ารัฐบาลอยู่เฉย
ๆ
ไม่ทำงาน
เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไร
ผมจึงมีประเด็นที่อยากวิเคราะห์ถึงความเห็นของรักษาการณ์
รมว.ท่านนี้
ดังนี้
ประการแรก
การตอบโต้ที่ผิดประเด็น
การตอบโต้ของรักษาการณ์
รมว.เป็นการตอบโต้ที่ผิดประเด็น
เพราะทีดีอาร์ไอไม่ได้ระบุว่า
รัฐบาลอยู่เฉย
ๆ
หรือไม่มีความพยายามในการทำงานแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่มีโครงการจำนวนมาก
แต่ประเด็นที่ทีดีอาร์ไอกล่าวถึง
เป็นประเด็นเกี่ยวกับผลของการทำงาน
มิใช่ปริมาณของงานที่รัฐบาลทำ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ทีดีอาร์ไอกล่าวถึงความไม่มีประสิทธิผลของนโยบายของรัฐบาลในการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
ประการที่สอง
การทำงานมากไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจโต
ทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์บางสำนัก
เช่น
สำนัก
Classic
และ
Neoclassic
เป็นต้น
ได้ให้ข้อสรุปว่า
The
best
government
is the
least
government
หรือแปลว่า
รัฐบาลที่อยู่เฉย
ๆ
เป็นรัฐบาลที่ดีที่สุด
อนึ่ง
รัฐบาลที่อยู่เฉย
ๆ
ในที่นี้มิได้หมายความว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ทำอะไรเลย
แต่เป็นรัฐบาลที่ไม่เข้าไปแทรกแซงระบบเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่าง
ๆ เช่น
การตั้งเพดานราคาหรือการอุดหนุน
(subsidy)
สินค้าบางชนิดเพื่อให้ราคาต่ำลง
หรือการตั้งราคาขั้นต่ำเพื่อให้ราคาสินค้าสูงขึ้นโดยที่มิได้เป็นไปตามกลไกตลาด
เป็นต้น
ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในสำนักนี้
หน้าที่ที่รัฐบาลควรทำอย่างยิ่งคือ
การรักษากฎกติกา
(rule)
ของสังคมและเศรษฐกิจให้มีระเบียบ
ไม่วุ่นวายโกลาหล
เพื่อให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างเต็มที่
ต่อคำถามว่า
ถ้ารัฐบาลอยู่เฉย
ๆ
ไม่ทำงาน
เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไร
ผมขอช่วยชี้แจงสั้น
ๆ ว่า
นักเศรษฐศาสตร์ในสำนักนี้ได้อธิบาย
ทั้งจากใคร่ครวญด้วยเหตุผลและด้วยประสบการณ์เชิงประจักษ์จากรัฐบาลในประเทศของเขาว่า
การที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจด้วยโครงการต่าง
ๆ
มากมายนั้น
นอกจากจะทำให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
ซึ่งทำให้สังคมได้รับสวัสดิการลดลงแล้ว
ยังก่อให้เกิดต้นทุนต่อสังคมจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ
(Economic
rent)
ซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่า
การโกงกิน
ที่ทำให้ประชาชนต้องแบกภาระด้วยการเสียภาษีอีกด้วย
ประการสุดท้าย
ภาครัฐมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยน้อย
หากพิจารณาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะพบว่า
ภาครัฐมีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่มากนัก
ซึ่งผมต้องขออธิบายเป็นขั้นตอนดังนี้
การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นวัดจากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชาติ
และรายได้ประชาชาตินั้นคิดจากตัวแปรเศรษฐกิจ
5
ตัว คือ
การบริโภคภาคเอกชน
การลงทุน
การใช้จ่ายภาครัฐ
การส่งออก
และการนำเข้า
ดังนั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเกิดจากปัจจัยที่จะมากระทบ
ตัวแปร
5
ตัวนี้
ด้วยเหตุที่ประเทศไทยเป็นประเทศเปิด
ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าของไทยในปัจจุบัน
ที่มีมูลค่ารวมกันมากว่ารายได้ประชาชาติ
การส่งออกและนำเข้าจึงมีสัดส่วนค่อนข้างมากในรายได้ประชาชาติ
ในขณะที่ตัวแปรด้านการส่งออกและนำเข้านั้นมีปัจจัยหลักที่มากำหนดคือภาวะเศรษฐกิจโลก
ดังนั้นเศรษฐกิจโลกจึงเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยมาก
ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดของรายได้ประชาชาติ
นโยบายต่าง
ๆ
ของรัฐบาลจึงมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรงเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
แต่ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับ
ภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
ผมเข้าใจดีว่าการตอบโต้ของรักษาการณ์
รมว.ท่านนี้เป็นเพียงการตอบโต้ทางการเมือง
ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์
เกิดความเข้าใจผิดต่อการวิเคราะห์เชิงวิชาการของทีดีอาร์ไอได้
แต่สำหรับผู้ที่รู้เศรษฐศาสตร์จะเข้าใจดีว่า
เนื้อหาของการตอบโต้นั้นสะท้อนถึงการ
ขาดความเข้าใจและไม่ได้ตอบโต้กลับอย่างมีเหตุผลแต่อย่างใด
|