เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันมีหลายเหตุการณ์ที่สามารถนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่าย
ซึ่งชนวนของเหตุการณ์ต่าง
ๆ
นั้นมาจาก
สถานการณ์ทางการเมืองที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองขั้วคือ
กลุ่มที่สนับสนุนนายกฯ
ทักษิณ
และกลุ่มที่ไม่สนับสนุนนายกฯ
ทักษิณ
สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือ
กลุ่มที่สนับสนุนนายกฯ
ได้ออกมาเคลื่อนไหวกดดัน
รุกรานฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนายกฯ
ตลอดจนมีการกระทำที่ยั่วยุให้เกิดการปะทะกันมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปปิดล้อมตึกเนชั่นของคาราวานคนจน
การปิดล้อมที่ทำการของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
และการขว้างปาสิ่งของใส่ผู้ที่อยู่ภายในสำนักงานโดยกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้างที่สนับสนุนคุณทักษิณ
ตลอดจนกลุ่มคนที่เดินทางมาทำร้ายแกนนำพรรคและทำลายเวทีในการประท้วงการตั้งเวทีปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์
ที่จังหวัดเชียงใหม่
จนทำให้ทางพรรคต้องยุติการปราศรัยกลางคันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง
ซึ่งหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้อาจทำให้เหตุการณ์รุนแรงและบานปลายไปจนถึงขั้นการใช้กำลังเข้าตัดสินความขัดแย้งก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้คุณทักษิณในฐานะที่เป็นบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนเหล่านั้น
ควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม
โดยการออกมาเตือนสติ
ห้ามปรามกลุ่มคนที่สนับสนุนคุณทักษิณเหล่านั้นให้ทำการชุมนุมอย่างสันติ
ไม่ใช้วิธีการปิดล้อม
รุกรานกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม
หรือคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวคุณทักษิณ
เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปตาม
กติกา
ของระบอบประชาธิปไตยอย่างที่คุณทักษิณมักกล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง
โดยที่ตัวคุณทักษิณจะไม่กลายเป็นสาเหตุของการก่อความรุนแรงเสียเอง
ทั้งนี้หากพิจารณาการตอบสนองของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ต่อเหตุการณ์ที่ถูกปิดล้อมที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ว
ผมเห็นว่าการแสดงออกของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์เป็นการแสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษ
ไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามไปในทางที่เลวร้ายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการพยายามชี้แจงต่อกลุ่มที่มาประท้วงการปราศรัย
การเรียกผู้ที่มาประท้วงว่า
พี่น้อง
ทุกครั้ง
การยุติการปราศรัยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง
รวมถึงการออกมาแถลงข่าวของแกนนำในวันรุ่งขึ้นภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
โดยการแสดงจุดยืนว่า
ไม่ให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนที่มาก่อความไม่สงบเหล่านั้น
เพื่อไม่ได้เรื่องราวลุกลามไปสู่การสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น
การเพิกเฉยของคุณทักษิณในเวลานี้จึงไม่ใช้วิธีการที่ดีต่อสังคมในภาพรวม
เพราะการไม่ได้ออกมาห้ามปรามหรือพูดคุยสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนที่สนับสนุนตนนั้น
เสมือนหนึ่งการแสดงออกว่า
เห็นด้วยกับการกระทำที่กลุ่มคนเหล่านั้นได้กระทำลงไป
และอาจเป็นการใช้คนที่มาสนับสนุนตนเองเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วย
ซึ่งจะยิ่งทำให้ความคิดที่จะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
และการสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกในสังคมเพิ่มมากขึ้นไปอีก
|