สวัสดีครับ
มิตรสหายทุกท่าน
ภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการ
ด้านการศึกษาเมื่อวันที่
25-26
กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ท่านนายกฯ
ได้ประกาศทุ่มงบประมาณหนึ่งแสนล้านบาท
ให้แก่การศึกษาสำหรับใช้ในอีก
4 ปีข้างหน้า
เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาหนี้ครู
การสร้าง ซ่อมแซม
ปรับปรุงอาคารเรียน
และระบบสาธารณูปโภคในโรงเรียน
การจัดสรรคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
และการลงทุนทำระบบใยแก้วนำแสง
สำหรับเครือข่ายการศึกษาทางไกลทั่วประเทศ
เป็นต้น
งบดังกล่าวจึงถือว่าเป็นงบที่มหาศาลเนื่องจาก
ในปีงบประมาณ
2547 ที่ผ่านมา
กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบในส่วนนี้เพียง
14,873 ล้านบาท
ข่าวดังกล่าว
ทำให้เราเห็นความตั้งใจที่น่าชื่นชมของรัฐบาล
ที่เห็นคุณค่า
และความสำคัญของการศึกษามากขึ้นกว่าสมัยที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การ
ทุ่มงบมหาศาล
คงไม่สำคัญเท่ากับ
การ ใช้งบทุกบาทอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อมิให้เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
แต่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการคุณภาพการศึกษาไทย
ทั้งนี้ผมขอเสนอเรื่องที่รัฐบาลควรตระหนักที่สำคัญ
2 ประการ ได้แก่
การระวังการทุจริตคอร์รัปชัน
อันเกิดจากการประมูล
การจัดซื้อจัดจ้างจากโครงการต่าง
ๆ
เนื่องจากแต่ละโครงการต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการ
ระบบบริหารจัดการที่มีคุณภาพ
มีการตรวจสอบการทำงานระหว่างรัฐ
และภาคีอื่น ๆ
ในสังคม เช่น
โรงเรียน ชุมชน
พ่อแม่ผู้ปกครอง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างโปร่งใส
และมั่นใจได้ว่า
เงินทุกบาทได้ใช้เพื่อการศึกษาจริง
การมุ่งเป้าชัด
พัฒนาคน
พัฒนาการศึกษา
การทุ่มงบประมาณควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน
เพื่อพัฒนาการศึกษา
คุณภาพครู
คุณภาพผู้เรียน
ดังนั้น
การทุ่มงบประมาณจำนวนมาก
จึงไม่ควรมีเป้าหมายเพียงการสร้างวัตถุที่จับต้องได้
แต่ควรมีการใช้งบประมาณที่ประเมินผลเป็นคุณภาพการศึกษา
คุณภาพคนที่วัดผลได้
เช่น
พัฒนาห้องสมุด
ส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์
รวมถึงการสานต่อนโยบาย
แนวทางที่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาเรื่องคนได้อย่างตรงจุด
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการบังคับใช้
พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับครูและบุคลากรทางการศึกษา
ที่จะเป็นคานงัดในการแก้ปัญหาวิกฤตวิชาชีพครู
และหนี้สินครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวังทั้งสองเรื่องนี้
จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
เนื่องจากจะทำให้การทุ่มงบประมาณดังกล่าว
มีประสิทธิภาพ
และส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษาของชาติ
และทำให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุด |