การแถลงข่าว ก.ล.ต.
ในประเด็นการซื้อขายหุ้นของ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ นางสาวพิณทองทา ชินวัตร
จากบริษัทแอมเพิลริช
ในราคา
1
บาท แล้วนำมาขายในตลาดราคา
49.25
บาท ซึ่งทาง ก.ล.ต.
ยืนยันว่าไม่เป็นการใช้ข้อมูลภายใน
เพราะผู้ถือหุ้นทั้งสองคนซื้อหุ้นจากบริษัทที่ตัวเองเป็นผู้ถือหุ้น
และบริษัทดังกล่าวไม่มีผู้อื่นถือหุ้นอยู่ด้วยนั้น
เป็นการด่วนสรุปโดยที่ยังไม่เห็นหลักฐาน
ก.ล.ต.
กล่าวว่าบริษัท
แอมเพิลริช และผู้ถือหุ้นทั้งสองคนเป็นบุคคลเดียวกัน
จึงไม่มีการใช้ข้อมูลภายใน
เพื่อนำหุ้นของผู้อื่นมาสร้างประโยชน์ให้ตนเอง ผมเห็นว่าการพิจารณาของ ก.ล.ต.
ในประเด็นนี้
เป็นการรีบเร่งสรุปทั้งๆ ที่ ก.ล.ต.ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า
นายพานทองแท้
ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100%
ในบริษัทแอมเพิลริช
ได้โอนหุ้นในแอมเพิลริชให้กับนางสาวพิณทองทา
จำนวน
20%
หรือ
658.4
ล้านหุ้น ในวันที่
15
พฤษภาคม
2548
จริง
ถ้าหากพิจารณาคำพูดของ
ดร.สุวรรณ
ที่กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1
กุมภาพันธ์
2549
ว่า
ในการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเป็นพิณทองทา
20%
กับพานทองแท้
80%
นั้น
ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบ
ก.ล.ต.
หรืออะไรทั้งนั้น
ที่ว่าจะต้องแจ้งอะไรต่ออะไร ฉะนั้นจะไปแจ้งใครเขาก็ไม่รับแจ้ง
แสดงให้เห็นว่า
บริษัท
แอมเพิลริช ยังไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้ ก.ล.ต.
รับทราบ
นอกจากนี้
คำแถลงของ รองเลขาธิการ ก.ล.ต.
ที่กล่าวว่า
ได้เตรียมขอเอกสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่ดูแลบริษัท
แอมเพิลริช
และเอกสารการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้น
เพื่อหาข้อสรุปว่า บุตรของนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องรายงานการซื้อขายหุ้นต่อ ก.ล.ต.และต้องทำคำเสนอซื้อหรือไม่
แสดงให้เห็นว่า ก.ล.ต.
ไม่ได้รับเอกสารการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมาก่อนเลย
ฉะนั้น
อาจสรุปได้ว่า ก.ล.ต.
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า บริษัท แอมเพิลริช
มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นจริงหรือไม่
และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นเกิดขึ้นจริงในวันที่
15
พฤษภาคม
2548
หรือมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น แต่ผู้ถือหุ้นใหม่ไม่ใช่นายพานทองแท้
ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร
กรณีเช่นนี้จะยังเข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายในหรือไม่
ที่สำคัญ
ผมอยากให้ ก.ล.ต.
ออกคำสั่งขอตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัทแอมเพิลริช
ในปัจจุบัน
ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริง ตามที่ ดร.สุวรรณกล่าวอ้างหรือไม่
รวมทั้งเปิดเผยเอกสารนี้ต่อสาธารณะ มิฉะนั้นการกระทำของ ก.ล.ต.ในครั้งนี้อาจถูกกล่าวหาโดยสาธารณชนว่าเป็นเพียงการโกหกร่วมกันระหว่าง
ก.ล.ต.และโฆษกตระกูลชินวัตรก็ได้