เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านเลขาธิการสำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ
(สปรส.)
ให้สัมภาษณ์ว่า ร่าง พ.ร.บ.
สุขภาพแห่งชาติได้ผ่านความเห็นชอบจาก
ครม.
แล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นสภาผู้แทนราษฎร
โดยใจความสำคัญในร่าง พ.ร.บ.
ฉบับนี้กล่าวว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยีดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต
หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
เช่น บุคคลอาจทำพินัยกรรมแจ้งลูกหลานญาติพี่น้องไว้ล่วงหน้าว่าถ้าหากเจ้าตัวเกิดเจ็บป่วยรุนแรง
ไม่รู้สึกตัว สมองตาย หยุดหายใจ หรือรักษาแล้วไม่หาย
ขอให้คนที่อยู่ข้างหลังเคารพสิทธิการตายด้วยการปล่อยให้เจ้าตัวจากไปอย่างสงบ
และหมอที่ปฎิบัติตามเจตนาของผู้ป่วยจะไม่ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ประเด็นดังกล่าวมีทั้งผ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
โดยต่างเสนอเหตุผลของตนที่แตกต่างกันไป อาทิ ฝ่ายที่เห็นด้วยให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่มีทางรักษาให้หายให้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยที่มารุมเร้า
เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระญาติพี่น้องในเรื่องค่ารักษาพยาบาล
และเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้ป่วยในการเลือกที่จะอยู่หรือจะตาย
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมที่แฝงมา เช่น
การค้าอวัยวะ การช่วงชิงมรดก
จะใช้หลักเกณฑ์อะไรมาเป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลผู้นั้นสมควรที่จะตายหรือไม่ เป็นต้น
และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อเรื่องนี้ โดยรายการทีวีช่องหนึ่งได้นำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยถกเถียงกันโดยเปิดโอกาสให้ผู้ชมทางบ้านสามารถโหวตมาแสดงความคิดเห็นได้
ผลการโหวตพบว่ามีผู้ที่เห็นด้วยกับการให้ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะเลือกตายได้มากถึงร้อยละ
91
การที่ประชาชนส่วนใหญ่โหวต
เห็นด้วย
มากเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากสำหรับสังคมไทยที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมีความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ
กฎแห่งกรรม การทำความดี
การถือรักษาศีล
5 ซึ่งศีลข้อแรกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายก็ยังถือเป็นการทำบาปด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ผมมีความห่วงใยไม่ใช่เพียงการที่กฏหมายนี้จะถูกนำออกมาใช้โดยอาจยังคิดไม่รอบคอบเพียงพอเท่านั้น
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งคือในเรื่อง การบิด
ขอบเขตคุณธรรมจริยธรรมเพื่อสนองต่ออัตตานิยมของตนเองมากกว่าการตอบสนองต่อหลักศาสนาที่สอนให้คนทำคุณงามความดีและเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในชีวิตทุก
ๆ ชีวิต
คนในสังคมจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ บนพื้นฐานผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งมากขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
อาทิ การอนุญาติให้คนชรา
คนพิการ
ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองและเป็นภาระของสังคมสามารถขอจบชีวิตของตนเองได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
การอนุญาติให้มีการทำแท้งเสรี การอนุญาติให้ฆ่าตัวอ่อนของทารกได้เพื่อนำเซลต้นกำเนิด
(stem cell)
มารักษาพยาบาลผู้ป่วยที่กำลังเป็นโรคร้ายแรง ฯลฯ
การตัดสินใจบนพื้นฐานให้สิทธิของตนเองเป็นใหญ่สูงสุด
โดยเพิกเฉยต่อหลักการทางศาสนาในเรื่องการเห็นถึงคุณค่าของชีวิต
เป็นปรากฎการณ์ที่น่าอันตรายในสังคมไทยที่กำลังพยายามสร้างแรงกดดันโดยอ้อมให้ผู้ที่อ่อนแอกลับไปพิจารณาตัวเองว่า
เขาสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทำให้คนอื่นเดือนร้อน
หรือควรที่จะตาย ๆ ไปซะเพื่อประโยชน์ของสังคมภาพรวม
หรือการจัดนิยามทางกฎหมายให้กับคนในกลุ่มนี้ว่าเป็น
ผู้ที่ไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ดังนั้นใครจะรู้ได้ว่าผู้ที่ขอใช้สิทธิการตายนั้นอาจไม่ได้
อยากตายจริงก็ได้แต่เพราะค่านิยมของสังคมที่กำลังบิดเบือนไปนี้ต่างหากที่กดดันให้เขาต้องตัดสินใจทำ
สังคมในอุดมคติไม่ใช่สังคมที่มีแต่คนเข้มแข็งปราศจากคนที่อ่อนแอ
แต่สังคมในอุดมคติคือสังคมที่มีทั้งผู้ที่เข้มแข็งกว่าและผู้ที่อ่อนแอกว่ามาอยู่ร่วมกันอย่างมีหัวใจแห่งความรักความเมตตากรุณาต่อกัน
ผู้ที่เข้มแข็งกว่าจะถูกฝึกหัวใจให้ไม่แข็งกระด้างจนเกินไปที่จะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า
และเป็นการ
ฝึกหัวใจของผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เห็นถึงคุณค่าตนเอง
ไม่ยอมแพ้หรือสิ้นหวังอะไรง่าย ๆ หรือแก้ปัญหาอย่างมักง่ายด้วยความคิดที่ว่า
ตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
ปัญหาจะได้จบ ๆ ไป
สภาพสังคมไทยในปัจจุบันแห้งแล้งในความรักความเมตตามากเพียงพออยู่แล้ว
อย่าออกกฎหมายอะไรมาให้ใจคนไทยแห้งแล้งมากไปกว่านี้เลยครับ
|