จากที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางมีมติเป็นเอกฉันท์ในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอีกวันละ 1-5
บาทใน 36 จังหวัด ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 นั้น
เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับผู้ใช้แรงงานทุกท่าน
อย่างไรก็ตามยังคงมีกระแสเรียกร้องขอความเป็นธรรมอยู่บ้างในบางจังหวัดที่ไม่ได้รับการพิจารณาให้ขึ้นค่าจ้าง
แนวทางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการนั้น
เป็นการพิจารณาที่ให้ความสำคัญเหตุผลทางการเมืองเป็นหลัก
แต่ปราศจากการพิจารณาปัจจัยและผลกระทบต่าง ๆ อย่างรอบด้านและสมดุล ทั้ง ๆ
ที่การขึ้นค่าจ้างแรงงานมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม อาทิ
อัตราการจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อ ความสามารถในการแข่งขัน ฯลฯ
การปรับค่าจ้างครั้งนี้อาจไม่ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
ผมเสนอว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบและแนวทางการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ
เพื่อให้การพิจารณากำหนดค่าจ้างขั้นต่ำก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม
และต่อแรงงานมากที่สุด โดยผมขอเสนอแนวทางดังต่อไปนี้
สร้างแบบจำลองเพื่อคำนวณผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ปัจจุบันหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดไม่ชัดเจนและมีความแตกต่างกัน
คณะกรรมการค่าจ้างในแต่ละจังหวัดใช้ข้อมูลในการพิจารณาไม่เหมือนกัน
โดยบางจังหวัดมีข้อมูลมากถึง 16
แหล่งข้อมูล
แต่บางจังหวัดใช้ข้อมูลน้อยมากเพียง
1 แหล่งข้อมูลเท่านั้น
ดังนั้นจึงควรมีหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างชัดเจน
และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับทั้ง 3
ฝ่าย
เพื่อไม่ต้องใช้การเจรจาต่อรองหรือใช้ความรู้สึกในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ
ด้วยเหตุที่การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีผลต่อทุกภาคการผลิตและมีผลต่อเศรษฐกิจมหภาคด้วย
ผมจึงเสนอว่า ในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ กระทรวงแรงงานควรจัดทำแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค
เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างต่อเศรษฐกิจมหภาค
และจัดทำแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป
(CGE)
เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ด้วย
ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินผลดี-ผลเสียของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
และกำหนดระดับของค่าจ้างขั้นต่ำได้โดยมีผลการศึกษาวิเคราะห์รองรับและมีความเป็นวิทยาศาสตร์
กล่าวคือไม่ต้องใช้ดุลพินิจหรืออำนาจต่อรองของภาคีต่าง ๆ
แต่เกิดจากการคำนวณบนฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ
พิจารณาค่าจ้างจากข้อมูลเศรษฐกิจรายอำเภอ
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรให้ความสำคัญกับการเก็บรวบรวมข้อมูลลงรายละเอียดมากกว่ารายจังหวัด
โดยอาจแยกย่อยเป็นรายอำเภอ
เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์คำนวณค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
เพราะแต่ละพื้นที่ในจังหวัดเดียวกันอาจมีค่าครองชีพที่แตกต่างกัน
การกำหนดให้ค่าจ้างแรงงานเท่ากันทั้งจังหวัดจึงไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่
กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำจำแนกรายอุตสาหกรรม
เนื่องจากการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันหมดทุกอุตสาหกรรม
ไม่ทำให้เกิดค่าจ้างที่เป็นธรรม
(Fair wage)
เพราะแรงงานแต่ละอุตสาหกรรมมีผลิตภาพแตกต่างกัน และในสภาพเศรษฐกิจ ณ เวลาหนึ่ง ๆ
อุตสาหกรรมแต่ละประเภทมีการขยายตัวและชะลอตัวแตกต่างกัน
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำจึงควรพิจารณาจากผลิตภาพของแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม
หากแรงงานบางส่วนที่มีผลิตภาพต่ำมากจนไม่สามารถได้รับค่าจ้างสูงเท่ากับระดับมาตรฐานการครองชีพ
ในระยะสั้นรัฐอาจจะกำหนดให้มีค่าจ้างขั้นต่ำในระดับที่เพียงพอแก่การดำรงชีพ
แต่ในระยะยาว รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างการผลิตและยกระดับฝีมือแรงงาน
เพื่อให้แรงงานได้รับค่าจ้างตามผลิตภาพของแรงงานซึ่งสูงกว่าระดับมาตรฐานการดำรงชีพขั้นต่ำ
รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมเพื่อรองรับแรงงานที่มีผลิตภาพต่ำ
โดยไม่จำเป็นต้องกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำที่บิดเบือนกลไกตลาด
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีเป้าหมายเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ที่เพียงพอแก่การดำรงชีพสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ
แต่การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและต่อแรงงานส่วนหนึ่งด้วย
รวมทั้งอาจทำให้แรงงานไร้ฝีมือขาดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะของตนเอง
ดังนั้นการพิจารณาประเด็นนี้จึงควรกลับไปวิพากษ์ระบบการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่
มีวิธีการอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
ที่จะทำให้แรงงานไร้ฝีมือมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน อย่างไรก็ตาม
หากการศึกษาพบว่าระบบค่าจ้างขั้นต่ำเป็นระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย
รัฐยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบนี้ให้มีประสิทธิภาพ
และเหมาะสมกับแรงงานแต่ละกลุ่มมากขึ้น