เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ปี 2545
เป็นปีเริ่มต้นแห่งการต่อต้านร้านค้าปลีกสมัยใหม่
(modern
trade)
โดยเฉพาะห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
(Hyper-market)
หรือในนามยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-ค้าส่งข้ามชาติในประเทศไทย
ทุนท้องถิ่นเกือบทั่วประเทศออกมารณรงค์ต่อต้านอย่างหนัก
ในที่สุดรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้นำพระราชบัญญัติผังเมืองเข้ามาควบคุมห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เหล่านี้
แต่ไม่เป็นผล
กล่าวกันว่าสาเหตุส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการยุบร่างกฎหมายค้าปลีกฯ
โดยมติคณะรัฐมนตรีในเวลานั้นแล้ว
ยังรวมถึงความไม่เหมาะสมของกฎหมายผังเมืองในการควบคุมค้าปลีกสมัยใหม่
ซึ่งจากการรวบรวม
ผมพบอย่างน้อย
3
เหตุผลสำคัญ
ดังนี้
1.
ผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่กลุ่มอำนาจในท้องถิ่นได้รับ
เริ่มต้นเมื่อรัฐบาลประกาศพ.ร.ฎ.สำรวจแนวเขตการใช้ที่ดิน
เพื่อเป็นกลไกควบคุมการขยายสาขาของค้าปลีกสมัยใหม่
โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
72
จังหวัด
เพื่อพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ต่าง
ๆ
แต่พบว่าหลายจังหวัดดำเนินการล่าช้า
จนเป็นเหตุให้การออกกฎหมายฯ
ยืดออกไป
ทำให้ค้าปลีกสมัยใหม่เร่งขยายสาขาโดยอาศัยช่องว่างของเวลา
ทั้งนี้ผู้ค้าปลีกรายย่อยในท้องถิ่นตั้งข้อสังเกตว่า
ที่ดินส่วนใหญ่ที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ต้องการมักจะเป็นของผู้มีอิทธิพล
หรือเป็นสายสัมพันธ์กับนักการเมืองในท้องถิ่น
และคนกลุ่มนี้ต้องการจะขายที่ดินให้กับกลุ่มทุนค้าปลีกต่างชาติอยู่แล้ว
เพราะทุนค้าปลีกต่างชาติมีอำนาจทุนมหาศาลสามารถโน้มน้าวใจให้ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นยอมรับผลประโยชน์จากราคาที่ดินที่สูงมาก
เราจึงเห็นพบว่า
ความล่าช้าของเวลาในการบังคับใช้กฎหมาย
ร่วมกับแรงหนุนจากกลุ่มเจ้าของที่ดินที่มีอำนาจในท้องถิ่น
การขยายสาขาของค้าปลีกสมัยใหม่ในต่างจังหวัดจึงเป็นไปอย่างสะดวก
แม้มีเสียงต่อต้านจากกลุ่มค้าปลีกรายย่อยในท้องถิ่นก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วจะไม่มีผลย้อนหลัง
ทำให้ไม่ผลกับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ได้รุกเข้าไปเปิดสาขาอยู่ก่อนแล้ว
และยังได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างเต็มที่
เพราะจะไม่มีคู่แข่งรายอื่นเข้ามาแข่งขันได้อีกต่อไป
เนื่องจากกฎหมายผังเมืองบังคับให้คู่แข่งรายใหม่จะต้องขยับออกไปอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า
15
กิโลเมตร
ดังนั้นจึงกลายเป็นปัญหาการผูกขาดซ้อนผูกขาดเกิดขึ้นในที่ที่มีการผูกขาดอยู่แล้ว
2.
ความไม่ชัดเจนของเนื้อหากฎหมาย
ในตัวกฎหมายระบุถึง
“การกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง
ดัดแปลงอาคารพาณิชย์กรรมค้าปลีกค้าส่ง”
แต่ไม่มีการบ่งชี้ให้ชัดเจนว่า
“
พื้นที่ที่ค้าปลีกค้าส่ง
”
กินความหมายอย่างไร
ครอบคลุมถึงศูนย์การค้า
ห้างสรรพสินค้า
หรือตลาดสดด้วยหรือไม่
ซึ่งอาจเป็นการตีความที่ผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย
และให้คุณกับค้าปลีกต่างชาติ
แต่ค้าปลีกรายย่อยเสียประโยชน์
นอกจากนี้
ในกฎหมายว่าด้วย
“
การยื่นขอก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบธุรกิจศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า
”
ที่ใช้นิยามคำว่า
“
อาคารพาณิชย์กรรมค้าปลีกค้าส่ง
”
ซึ่งทำให้ตีความครอบคลุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทุกประเภท
ทำให้ค้าปลีกยักษ์ได้สามารถซื้อใบอนุญาตต่อจากเจ้าของเดิมที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารตามนิยามนี้ไปแล้ว
3.
ค้าปลีกต่างชาติเตรียมการขยายมาเป็นเวลานานแล้ว
โดยวางแผนขยายธุรกิจ
10-20
ปีล่วงหน้า
ด้วยการสำรวจทำเลทองก่อนที่เมืองจะขยายออกไป
และเข้ามาเช่าพื้นที่กักตุนไว้ในระยะยาวก่อนขออนุญาตจัดตั้งกิจการ
โดยจะเร่งขออนุญาตตั้งกิจการก่อนมีกฎหมายผังเมืองออกมาควบคุม
ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่มักจะเข้าไปใกล้ชิดผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพราะรู้ว่ากฎหมายให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอนุญาตจัดตั้งกิจการค้าปลีกแต่ไม่ใช้วิธีผิดกฎหมายและคอร์รัปชัน
จึงทำให้รู้ข้อมูลภายในวงราชการก่อนและการขยายสาขาไม่มีแรงต่อต้านจากผู้มีอำนาจ
การแก้ปัญหาผลกระทบจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
ภาครัฐควรกำหนดกติกาหรือกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันได้
และทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องบริหารด้วยความโปร่งใส
และมีความชัดเจนในนโยบายในการเมืองระดับท้องถิ่น
พร้อมทั้งต้องรักษาประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่มากกว่าแสวงหาประโยชน์ส่วนตน
|