ดร.เกรียงศักดิ์
ตั้งข้อสังเกตร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ....เป็นแนวคิดที่ดี
แต่การทำธุรกิจไม่ควรเป็นหน้าที่ของ
กยท.เพราะไม่ใช่ธุรกิจที่เอกชนทำไม่ได้
ไม่ใช่ธุรกิจที่ภาครัฐทำได้ดี
ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ
สภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหารพรรค
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ร่าง
พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.
....ว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่บูรณาการการทำงานของหน่วยงานสำคัญด้านยางพาราของประเทศเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้
กยท.ทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา
ซึ่งน่าจะโอนจากองค์การสวนยางแห่งประเทศไทย
เช่น
ประกอบการค้าและธุรกิจเกี่ยวกับผลิตผล
ผลิตภัณฑ์และวัตถุพลอยได้ที่เกิดจากการทำสวนยางพาราเป็นสำคัญ
เป็นต้น
ผมเห็นว่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราไม่ควรเป็นหน้าที่ของ
กยท.
เนื่องจาก
ไม่ใช่ธุรกิจที่เอกชนทำไม่ได้
พิจารณาหลักการทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ
รัฐจะเข้าไปดำเนินการในกิจการที่เอกชนไม่สามารถทำได้หรือไม่ควรทำ
เนื่องจากเป็นสินค้าสาธารณะ
และสาธารณูปโภคพื้นฐาน
หรือสินค้าที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ
หรือเป็นธุรกิจที่ต้องใช้การลงทุนสูงมาก
หรือเป็นสินค้าที่มีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสูงมาก
หรือตลาดของสินค้าประเภทนั้นมีปัญหาความล้มเหลวของตลาด
แต่ธุรกิจยางพาราไม่ใช่ธุรกิจที่เอกชนทำไม่ได้หรือไม่ควรทำ
เพราะยางพาราไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นสินค้าสาธารณะ
ไม่ได้เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานหรือเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
และไม่ได้เป็นสินค้าที่อ่อนไหวต่อความมั่นคงของประเทศ
รวมทั้งเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากจนเกินศักยภาพของภาคเอกชนที่จะลงทุนดำเนินการเองได้
มีภาคเอกชนดำเนินธุรกิจยางพาราอยู่เป็นจำนวนมากถึง
524
โรงงานทั่วประเทศ
และผลผลิตยางพาราของประเทศส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน
ในขณะที่องค์การสวนยางแห่งประเทศไทยมีผลผลิตน้ำยางเพียง
5,250
ตัน คิดเป็นร้อยละ 0.2
ของปริมาณการผลิตทั้งหมดเท่านั้น
นอกจากนี้
ตลาดยางพาราเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก
โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนอนุญาตให้ภาคเอกชนของจีนซื้อขายยางพาราได้
ยิ่งทำให้มีจำนวนผู้ซื้อผู้ขายมากขึ้น
แต่หากรัฐบาลต้องการให้ กยท.ทำธุรกิจเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางที่ยากจน
โดยไม่หวังผลกำไรมากนัก
ผมคิดว่าไม่ควรเขียนกฎหมายให้ กยท.ทำธุรกิจได้กว้างมากเกินไปเพราะเปิดช่องให้
กยท.แข่งกับเอกชนซึ่งเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมยางพาราโดยรวม
ไม่ใช่ธุรกิจที่ภาครัฐทำได้ดี
ผลการประกอบการขององค์การสวนยางมีปัญหาขาดทุนอย่างยาวนาน โดยปี
2543 ขาดทุน
15.109 ล้านบาท
ปี 2544 (เม.ย.-ก.ย.)
ขาดทุน 12.313 ล้านบาท
ก่อนที่จะมีกำไรในช่วงปี
2545-2547
โดยมีผลกำไรประมาณ
20-30 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสาเหตุที่มีกำไรไม่ได้เกิดจากประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
แต่เป็นเพราะการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจีน
และรัฐบาลจีนให้เอกชนรับซื้อยางพาราได้อย่างเสรี
ทำให้เกิดความคล่องตัวในการซื้อขายยางพารามากขึ้น
ด้วยเหตุที่หน่วยงานภาครัฐมักมีประสิทธิภาพด้อยกว่าเอกชน
ผมจึงเห็นว่า กยท.ควรนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้พัฒนาคุณภาพยาง
ส่งเสริม สนับสนุน
พัฒนาธุรกิจยางพาราของเอกชนมากกว่า
ที่จะทำธุรกิจแข่งกับเอกชน
ถึงแม้ว่า กยท.ยกเลิกการประกอบธุรกิจยางพารา
อาจส่งผลให้บุคลากรขององค์กรสวนยาง
รวมถึงทรัพย์สินที่เคยใช้ทำธุรกิจไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์
แต่ผมเห็นว่า
ในส่วนของพนักงานและลูกจ้างประจำ
399 คน
สามารถโอนย้ายมาทำงานกับ กยท.เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษากับเกษตรกรได้
หรือหากพนักงานต้องการจะประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา
กยท.อาจประมูลขายทรัพย์สินให้กับพนักงานหรือภาคเอกชนในราคาที่เหมาะสม
ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม
ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้อำนาจ
กยท.ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา
ซึ่งอาจทำให้ กยท.สามารถใช้อำนาจและสิทธิพิเศษที่ได้รับในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐ
ทำให้ได้เปรียบภาคเอกชน เช่น
มาตรา 23
ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลทั่วไป
คณะกรรมการฯ
จึงอาจกำหนดนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของ
กยท.
หรือกำหนดกติกาการแข่งขันที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของ
กยท.
และใช้ข้อมูลขององค์กรเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจ
และอาจได้เปรียบจากการที่มีแหล่งทุนขนาดใหญ่
คือเงินงบประมาณแผ่นดิน
เนื่องจากมาตรา 39
ระบุให้ไม่ต้องนำส่งเงินและทรัพย์สินให้กระทรวงการคลัง
มาตรา
56 ระบุให้รายได้ที่ กยท.ได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของ
กยท.
สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ในการดำเนินกิจการ
ตลอดจนค่าภาระต่าง ๆ
ที่เหมาะสมตามที่คณะกรรมการกำหนด
และถ้ารายได้ไม่พอสำหรับค่าใช้จ่าย
รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กยท.เท่าจำนวนที่ขาด
ซึ่งหมายความว่า กยท.
สามารถนำเงินภาษีของประชาชนมาลงทุนทำธุรกิจแข่งกับภาคเอกชนได้ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก กยท.
ได้รับการสนับสนุนจนกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่
มีอำนาจผูกขาดตลาด
และเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้
ไม่เท่ากับว่า
รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมาพัฒนา
กยท.
เพื่อขายให้เอกชนชุบมือเปิบไปหรือ?
การจัดตั้ง กยท.อาจช่วยแก้ไขปัญหาการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราที่ผ่านมา
ซึ่งขาดการบูรณาการร่วมกัน
แต่การที่ร่าง พ.ร.บ.
การยางแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ กยท.ไว้มากเกินไป
ทำให้ กทย.
แทนที่จะเป็นองค์กรของรัฐที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจของเอกชน
แต่กลับจะทำให้ภาคเอกชนอ่อนแอลง
เพราะกลายเป็นคู่แข่งที่มีความได้เปรียบอันเกิดจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม
..................................................
|