Go www.kriengsak.com ประวัติ ครอบครัว งานวิชาการ กิจกรรม Press Contact us ค้นหา


เกรียงศักดิ์ชี้นโยบายค้าปลีก สมรู้ร่วมคิด
..................................................


ดร.เกรียงศักดิ์ ชี้การประกาศผ่อนปรนหลักเกณฑ์การค้าปลีก-ส่ง น่าสงสัยเป็นนโยบายสมรู้ร่วมคิด เพราะขัดแย้งกับนโยบายเดิม, ไม่เป็นธรรม, ไม่โปร่งใส และให้ผลตอบแทนแก่ธุรกิจมากกว่าต้นทุนที่แบกรับ

ดร
.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กรรมการบริหารและส..พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การแก้ไขประกาศกรมโยธาธิการและผังเมืองว่าด้วยเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตอาคารพาณิชยกรรมค้าปลีกและค้าส่ง เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่สึนามิ และ 3 จังหวัดภาคใต้ ว่าอาจจะเป็นนโยบายสมรู้ร่วมคิด โดยมีข้อสังเกต 4 ประการ

ประการแรก คือ ความขัดแย้งเชิงนโยบาย การที่รัฐบาลช่วยเหลือธุรกิจการค้ารายใหญ่ แต่ละเลยผู้ค้าปลีกรายย่อยในครั้งนี้ ทำให้ผมเกิดคำถามว่า จุดยืนรัฐบาลในเชิงนโยบายการค้าปลีกเป็นอย่างไร รัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ หรือจะสนับสนุนผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยกันแน่ เหตุใดนโยบายปัจจุบันจึงขัดแย้งกับนโยบายในอดีตอย่างสิ้นเชิง”

“สอง ความไม่เป็นธรรม การที่
รัฐบาลตอบแทนแก่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยดึงผลประโยชน์มาจากผู้ค้าปลีกรายย่อยในจังหวัดอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าว ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อธุรกิจรายย่อย รัฐบาลน่าจะใช้วิธีอื่นที่ดีกว่าและไม่สร้างผลกระทบ เช่น ลดหย่อนภาษีให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุน การกำหนดระยะเวลาในการไม่ต้องจ่ายภาษี หรือให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ มากกว่าการลงทุนในพื้นที่อื่น”

“สาม ไม่โปร่งใส การตอบแทนให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่โดยผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจัดตั้งธุรกิจค้าปลีกทั่วประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า กรมโยธาธิการไม่รู้หรือทำแกล้งไม่รู้ว่า จะส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกรายย่อยอย่างไร เหตุใดจึงรีบเร่งออกประกาศให้เสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน ทั้งที่ยังมีข้อถกเถียงมากและมีผลกระทบรุนแรง เหตุใดจึงไม่พยายามให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีส่วนร่วมพิจารณาก่อนออกประกาศฉบับนี้ และเหตุใดผู้ค้าปลีกรายใหญ่จึงกล้าเข้าไปลงทุนในพื้นที่ที่ทางรัฐบาลขอร้อง หากไม่คุ้มทุนแล้ว เขาจะเข้าไปลงทุนทำไม เว้นเสียแต่ว่าจะมีการสัญญาว่า จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่นอกเหนือจากการลงทุน”

สุดท้าย ต้นทุนและผลตอบแทนทางนโยบายไม่สมมาตรกัน  กล่าวคือต้นทุนของการเข้าไปลงทุนในพื้นที่สึนามิและ 3 จังหวัดภาคใต้ น่าจะต่ำกว่าผลตอบแทนที่ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่จะได้รับจากโอกาสการลงทุนทั่วประเทศ มีความไม่สมมาตรในด้านขนาดของต้นทุนและผลตอบแทน เพราะเงินลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่เสี่ยงภัย นับว่ามีมูลค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ธุรกิจขนาดใหญ่จะได้รับจากการลงทุนทั่วประเทศ และมีความไม่สมมาตรของระยะเวลาแบกรับต้นทุนและระยะเวลาการได้รับผลตอบแทน เพราะการลงทุนพื้นที่สึนามิ อาจทำให้ผู้ลงทุนแบกรับภาวะการขาดทุนเพียงระยะสั้น เพราะไม่นานพื้นที่ประสบภัยสึนามิจะฟื้นตัวขึ้น ส่วนการลงทุนใน 3 จังหวัดภาคใต้ แม้ต้องอาศัยเวลานานในการเข้าสู่ความสงบ แต่นักลงทุนอาจเลิกกิจการและถอนการลงทุนออกมาได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงกติกาการลงทุน จะทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์เป็นเวลายาวนาน”     “ฉะนั้น ผมจึงเห็นว่ารัฐบาลควรพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ อย่ารีบร้อนในการออกประกาศ ต้องคิดอย่างรอบคอบ พิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และมีการศึกษาวิจัยก่อนกำหนดหลักเกณฑ์ในประกาศ.. ประชาธิปัตย์กล่าวทิ้งท้าย

 ..................................................