Go www.kriengsak.com ประวัติ ครอบครัว งานวิชาการ กิจกรรม Press Contact us ค้นหา


เกรียงศักดิ์เสนอ 6 แนวทางป้องกันความเสี่ยงการลงทุนเมกะโปรเจกต์
..................................................


นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนฯ และประธานคณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวถึงผลการสัมมนา เรื่อง “ความเสี่ยงของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ: บทเรียนในอดีตและผลกระทบในอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2548 ที่รัฐสภา โดยมีความห่วงใยความเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ ต้นทุนบานปลาย รายได้ไม่ถึงเป้า ความเสี่ยงจากการเปลี่ยงแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เงินไม่กระจายแต่กระจุกกับคนบางกลุ่ม ไม่เกิดประโยชน์ระยะยาว แต่เกิดผลกระทบต้องชดใช้หนี้ระยะยาว ความรวบรัดข้ามขั้นตอนไม่รอบคอบในการศึกษาผลกระทบ และการคอร์รัปชัน

ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เสนอแนวทางป้องกันความเสี่ยงในโครงการเมกะโปรเจกต์ 6 ประการ “หนึ่ง ประเมินความเสี่ยงอย่างสมจริง เพราะการประเมินผลกระทบของการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ ใช้สมมติฐานทางเศรษฐกิจแบบเดิม แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เดิม และอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน รวมทั้งรัฐบาลได้กำหนดนโยบายแก้ปัญหาเศราฐกิจระยะสั้นที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค จะส่งผลกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ จึงควรมีการทบทวนสมมติฐานและวิเคราะห์ผลกระทบเสียใหม่”

“สอง รับฟังความเห็นจากรอบด้าน เพราะแผนการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ ริเริ่มจากรัฐบาล แต่ยังขาดการสอบถามความต้องการจากประชาชน บางโครงการจึงอาจไม่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง หรืออาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ ดังตัวอย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่มีการเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ย่านเตาปูน ให้เปลี่ยนจากรูปแบบรถไฟลอยฟ้า เป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน แสดงว่า รัฐบาลได้ละเลยการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่”

“สาม ไม่ปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง รัฐบาลไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ อย่างครบถ้วน เช่น ไม่บอกว่าในปี 2550-2552 ขาดดุลฯ เกินกว่า 2% ตามที่รัฐบาลเคยระบุไว้ รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญอย่างครบถ้วน อีกประเด็นหนึ่ง รัฐบาลควรเปิดเผยต้นทุนที่ภาครัฐยังต้องจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนต่อไปในอนาคต เช่น โครงการรถไฟฟ้า หากรัฐบาลจะดำเนินการอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ใช้บริการขนส่งมวลชนระบบราง รัฐบาลควรบอกด้วยว่ารัฐบาลจะต้องอุดหนุนปีละเท่าไร และรัฐบาลจะมีมาตรการจัดเก็บรายได้อย่างไร เพื่อมาอุดหนุนโครงการนี้”
“สี่ เร่งศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบโครงการที่ชัดเจน เพราะหลายโครงการยังไม่มีรูปแบบโครงการที่ชัดเจน มีเพียงโครงการรถไฟฟ้า 7 สายเท่านั้น ที่ค่อนข้างชัดเจนในระดับเบื้องต้น แต่เมกะโปรเจกต์ในสาขาอื่น ๆ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร ยังไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้เกิดคำถามว่า การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ภายในเวลา 4-5 ปี โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ เลย จะสามารถดำเนินการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดได้หรือไม่ และหากรีบเร่งให้โครงการเสร็จทันตามที่กำหนด จะดำเนินการรอบคอบหรือไม่”

“ห้า กระจายความเสี่ยง ผมมีเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เหตุใดจึงใช้เงินลงทุนสูงสุดในปี 2551 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาล และเป็นปีก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งที่สามารถกระจายเงินลงทุนออกไปยังปีอื่น ๆ ได้ และยังทำให้ไม่เกิดแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด ผลการศึกษาของกระทรวงการคลัง พบว่า ปี 2551 เป็นปีที่ขาดดุลสูงที่สุดในตลอด 5 ปีเช่นกัน รัฐบาลมีแรงจูงใจทางการเมือง มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ เหตุใดรัฐจึงไม่กระจายการลงทุนออกไป ไม่ให้กระจุกในช่วงเวลา 4-5 ปีเท่านั้น”

“หก กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่สมจริง รัฐบาลเคยยืนยันว่า หากขาดดุลฯเกิน 2% จีดีพี จะชะลอหรือเลื่อนโครงการที่สำคัญน้อยออกไป และควบคุมสัดส่วนการนำเข้า จึงเกิดข้อสงสัยว่า หากโครงการต่าง ๆ ดำเนินการไปแล้ว การชะลอหรือเลื่อนโครงการออกไป หรือควบคุมการนำเข้าจะเป็นไปได้อย่างไรในภาคปฏิบัติ รัฐบาลบอกว่าจะดำเนินการจัดลำดับความสำคัญ แต่ยังไม่เห็นว่า ได้มีการระบุโครงการใดสำคัญ โครงการใดที่มีความสำคัญน้อยกว่า สามารถเลื่อนออกไปได้ และยังไม่เห็นว่ารัฐบาลได้จัดทำแผนสำรองไว้อย่างไร ในกรณีที่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามแผน หรือมีการเผื่อเหลือเผื่อขาดเท่าไร หากเกิดการบานปลายของต้นทุน และหากการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

 

 ..................................................