Go www.kriengsak.com ประวัติ ครอบครัว งานวิชาการ กิจกรรม Press Contact us ค้นหา


แปรรูป กฟผ. สุดเสี่ยง
..................................................


เกรียงศักดิ์ แจง 3 เสี่ยง แปรรูป กฟผ. เสี่ยงผูกขาด เสี่ยงค่าไฟไม่เป็นธรรม และเสี่ยงฮุบหุ้น รวมทั้งเสนอ 4 ข้อ ตั้งกรรมการกำกับที่เป็นอิสระจริง ๆ กำหนดกติกาการใช้ประโยชน์จากเขื่อนและสายส่งอย่างเป็นธรรม เลิกเงื่อนไข กฟผ.ผูกขาด และสร้างข้อจำกัดการใช้ nominee

ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ และประธานคณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการอภิปรายในการสัมมนา เรื่อง “แปรรูป กฟผ.อย่างไร ประชาชนได้ประโยชน์?” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2548 ณ อาคารรัฐสภา 2 ได้กล่าวถึงความเสี่ยง 3 ประการของการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

“ความเสี่ยงจากการผูกขาด เพราะแนวทางการแปรรูป กฟผ.ของรัฐบาล ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า แต่เป็นเพียงการย้ายจากการผูกขาดโดยรัฐ เป็นการผูกขาดโดย กฟผ.ที่มีพฤติกรรมแสวงหากำไรสูงสุดมากขึ้น ทั้งนี้เพราะรัฐบาลให้สิทธิ กฟผ.เช่าเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจากกระทรวงการคลังในราคาถูก โดยมีข้อมูลว่า กฟผ.เช่าเขื่อน 13 แห่งเป็นเวลา 30 ปี ๆ ละ 130 ล้านบาทเท่านั้น แต่รายได้จากไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังน้ำสูงถึง 15,970.5 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกติกาการใช้ประโยชน์จากสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ผูกขาดโดยธรรมชาติ ทำให้มีความเสี่ยงจะถูกใช้ทำกำไรอย่างมหาศาลเช่นเดียวกับกรณีที่ ปตท.ผูกขาดท่อก๊าซ นอกจากนี้ กฟผ.ยังได้สิทธิผลิตไฟฟ้า 75% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ที่เกิดขึ้น จึงไม่ทำให้เกิดการแข่งขัน และไม่ทำให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพ”

“ความเสี่ยงจากการกำหนดค่าไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน เนื่องจากคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) 15 คน มีตัวแทนจากผู้ใช้ไฟฟ้าเพียง 3 คน ทำให้ไม่สามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ สังเกตได้จากการปรับสูตรค่าไฟฟ้าที่ผ่านมา เป็นการกลไกการคืนกำไรส่วนเกินให้กับประชาชนออกไป ทำให้ค่าไฟฟ้าตามสูตรใหม่จะสูงกว่าค่าไฟฟ้าตามสูตรเดิม 1.4 สตางค์ทุก ๆ 4 เดือน ทำให้รายได้ของ กฟผ.ตลอด 3 ปีที่ใช้สูตร Ft ใหม่ จะมากกว่ารายได้ที่เก็บตามสูตรเดิม 32,783 ล้านบาท ส่วนคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าที่ตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกฯ มีที่มาจากคัดเลือกโดยกรรมการสรรหาที่แต่งตั้งโดย รมว.พลังงาน และเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้นายกฯ แต่งตั้ง กระบวนสรรหาเช่นนี้จึงไม่มีทางจะได้คนที่เป็นอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง”

“ความเสี่ยงจากการกระจายหุ้นไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม ถึงแม้รัฐบาลจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจที่รัดกุมขึ้น โดยให้มีการกระจายหุ้นแบบขั้นบันได ให้โอกาสกับผู้จองซื้อหุ้นจำนวนน้อยก่อน และไม่ให้บุคคลใดถือหุ้นเกินกว่า 5% ของทุนจดทะเบียน แต่วิธีการนี้ยังมีช่องโหว่ เพราะการใช้เทคโนโลยีในการสุ่มเลือกจะยิ่งตรวจสอบยาก ประกอบกับเพดานการถือหุ้นไม่เกินกว่า 5% ของทุนจดทะเบียนเป็นตัวเลขที่สูงมาก หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท”

“ผมมีข้อเสนอ 4 ประการ หนึ่ง ชะลอการกระจายหุ้น กฟผ.ออกไปก่อน แล้วเร่งตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับกิจการไฟฟ้าที่เป็นอิสระและสมดุล และให้คณะกรรมการฯ อิสระ เป็นผู้กำหนดกติกาการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าขึ้นใหม่ ส่วนคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับ Ft ต้องมีสัดส่วนของผู้บริโภคที่สมดุล กับตัวแทนฝ่ายอื่น ๆ”

“สอง แยกกิจการผูกขาด ออกจากกิจการที่มีการแข่งขัน โดยกำหนดกติกาการใช้ประโยชน์จากเขื่อน และระบบสายส่งอย่างเป็นธรรม กำหนดค่าเช่าที่เหมาะสมกับรายได้จากเขื่อน หรือให้แข่งขันประมูลกันเข้ามาขอเช่าบริหารจัดการเขื่อน ตลอดจนกำหนดค่าใช้บริการสายส่งไฟฟ้าเท่าเทียมกัน และควบคุมค่าใช้บริการสายส่งไฟฟ้า รวมทั้งกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์จากเขื่อนและสายส่ง ไม่ควรอนุญาตให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเพียงรายเดียว เข้ามาผูกขาดใช้ประโยชน์จากระบบสายส่ง โดยเฉพาะการติดตั้งใยแก้วนำแสง บนโครงข่ายของระบบสายส่ง เพราะจะทำให้เกิดการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม”

“สาม ยกเลิกเงื่อนไขให้ กฟผ.ได้สิทธิการผลิตไฟฟ้า 75% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ แต่ควรเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และในอนาคต อาจจะแยก กฟผ. ออกเป็นหลายบริษัท เพื่อไม่ให้มีอำนาจเหนือตลาด”
“สุดท้าย สร้างข้อจำกัดในการใช้ตัวแทนซื้อหุ้น เช่น ใช้เทคโนโลยีการสุ่มเลือก ที่สามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้ง่าย กำหนดเพดานการถือหุ้นไม่เกิน 0.5% ของทุนจดทะเบียน เพื่อให้การใช้ตัวแทนเข้าซื้อหุ้น มีความยากลำบากมากขึ้น และเปิดเผยรายชื่อผู้จอง และผู้ที่ได้รับหุ้น”

 

 ..................................................