เกรียงศักดิ์ตั้งกระทู้สดถามรัฐบาล
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน
ที่พบว่ายังมีความคลุมเครือใน
4
ประเด็น
คือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทรัพย์สินด้อยคุณภาพ
เงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้
ประสิทธิผลในการแก้ไขหนี้ด้อยคุณภาพ
และประสิทธิผลในการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน
ดร. เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
สภาผู้แทนฯ คณะกรรมการบริหาร
รองประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคฯ
และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
แถลงว่า จากมติ ครม.ที่รับทราบมาตรการการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน
เมื่อวันที่ 18
ต.ค.
2548
เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยในสถาบันการเงิน
ประมาณ 1
แสนราย เงินต้นรวมกันประมาณ
7
พันล้านบาท
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการริเริ่มจากรัฐบาลผมเห็นว่ายังมีความคลุมเครือหลายประการ
วันนี้จึงได้ตั้งกระทู้สดถามรัฐบาลในข้อสงสัย
4 ประเด็น
ประเด็นแรกคือ
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
กระทรวงการคลังได้กำหนดว่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เข้าเกณฑ์
ต้องเป็นสินทรัพย์ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ณ 30 มิ.ย.
2548
เป็นลูกหนี้ถูกฟ้องดำเนินคดีก่อนวันที่
1 ก.ค.
2548
โดยรัฐมนตรีให้เหตุผลว่าต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี
2540
ความไม่สมเหตุสมผล คือ
ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ด้อยคุณภาพ ณ
30 มิ.ย.
2548
ไม่ใช่ลูกหนี้ที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหมด
และทำไมลูกหนี้ด้อยคุณภาพ
(ที่ไม่ได้เกิดจากวิกฤต)
ที่ถูกฟ้องดำเนินคดีก่อน 1
ก.ค.
2548
จึงได้รับความช่วยเหลือ
แต่ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องหลังจากนั้นกลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ
ประเด็นที่สอง
เงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้
ซึ่งกำหนดให้ลูกหนี้ชำระหนี้ร้อยละ
50
ของเงินต้นแก่เจ้าหนี้เพียงครั้งเดียว
ระหว่าง 1
ม.ค.
ถึง 30
มิ.ย.
2549
โดยจะได้รับยกเว้นภาระหนี้เงินต้นที่เหลือ
และดอกเบี้ยค้างรับทั้งจำนวน
และลูกหนี้อาจขอสินเชื่อเพิ่มจากธนาคารออมสิน
ซึ่งจะให้สินเชื่อร้อยละ
50
ของมูลค่าเงินต้นคงค้าง
และให้ผ่อนชำระคืนเป็นเวลา
3 ปี
การที่ธนาคารออมสินให้สินเชื่อกับลูกหนี้เหล่านี้เป็นเหมือนการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินในราคาร้อยละ
50
ของมูลค่าทางบัญชี
ซึ่งสูงกว่าราคาสินทรัพย์ที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
(บสท.)
รับโอนมาที่ร้อยละ 30-35
อีกทั้งข้อมูลลูกหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา
จึงยังมีความคลุมเครืออยู่ว่าตัวเลขร้อยละ
50
เป็นราคารับซื้อหนี้ที่ยุติธรรมหรือไม่
ประเด็นที่สาม
ประสิทธิผลในการแก้ไขหนี้ด้อยคุณภาพ
การที่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวเป็นลักษณะการขอความร่วมมือ
ซึ่งสถาบันการเงินยินดีลดเงินต้นให้ร้อยละ
50
และธนาคารออมสินจะให้กู้หรือไม่ก็ได้
โดยพิจารณาความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
คำถามคือ
ทำไมสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้จึงไม่ดำเนินการเจรจากับลูกหนี้ไปเองไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
หากลูกหนี้กลุ่มนี้จะขอเจรจากับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ของตนเอง
เพื่อลดเงินต้นร้อยละ 50
และยืดระยะเวลาการผ่อนชำระออกไป
3 ปี
โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
1
ต่อเดือนเช่นเดียวกับธนาคารออมสิน
เจ้าหนี้จะยินดีเจรจาหรือไม่
ผมเชื่อว่าคำตอบที่จะได้รับคือ
ไม่ยินดี
ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเสี่ยงของลูกหนี้กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะการให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
1
ต่อเดือน
เป็นดอกเบี้ยที่ไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงของลูกหนี้กลุ่มนี้
ประเด็นที่สี่
ประสิทธิผลในการเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน
ความไม่ชัดเจนของเหตุผลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังที่ได้กล่าวข้างต้น
ทำให้เกิดคำถามว่า
ลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดจากผลกระทบของวิกฤตในปี
2540
และลูกหนี้กลุ่มที่เดือดร้อนที่สุดจะได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการนี้หรือไม่
มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกหนี้ที่เกิดจากวิกฤตปี
2540
จะไม่ได้รับการช่วยเหลือมากนัก
แต่ลูกหนี้ที่ไม่ควรได้รับความช่วยเหลือกลับจะได้รับ
เพราะลูกหนี้ด้อยคุณภาพตั้งแต่วิกฤตปี
2540
สินทรัพย์ที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันย่อมเสื่อมมูลค่าลง
ส่วนลูกหนี้ที่มีความเดือดร้อนมาก
อาจจะเป็นลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่พอชำระหนี้
หรือมีรายได้ไม่แน่นอน
ทำให้ไม่ผ่านการพิจารณาให้ได้รับเงินกู้จากธนาคารออมสิน
ส่วนลูกหนี้ที่ตั้งใจไม่ชำระหนี้มักจะเป็นผู้ที่สามารถชำระหนี้ได้จึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับเงินกู้จากธนาคารออมสินหรือแหล่งเงินกู้อื่น
ๆ
และแม้ว่าลูกหนี้ที่ไม่ได้รับเงินกู้จากธนาคารออมสิน
จะสามารถขอกู้จากแหล่งเงินทุนอื่น
ๆ
ปัญหาที่ตามมาคือลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูง
เพราะลูกหนี้ที่เคยถูกฟ้องดำเนินคดี
ย่อมไม่ได้รับเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
แม้ว่ามาตรการนี้อาจช่วยลูกหนี้ได้บางส่วน
และลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินลงได้บ้าง
แต่คงไม่สามารถคาดหวังประสิทธิผลในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้มากนัก
แต่สิ่งที่คาดหวังได้อย่างแน่นอน
คือคะแนนนิยมทางการเมืองอันเนื่องจากการประชาสัมพันธ์มาตรการนี้
โดยที่ลูกหนี้ส่วนใหญ่ยังต้องรับภาระแก้ปัญหาหนี้ของตัวเองต่อไป
ส.ส.ปชป. กล่าว
..................................................
|