Go www.kriengsak.com ประวัติ ครอบครัว งานวิชาการ กิจกรรม Press Contact us ค้นหา

 

ไอทีวี ละครฉากใหญ่ที่เปิดเผยธาตุแท้รัฐบาล

..................................................

 

ดร.เกรียงศักดิ์ เผยพฤติกรรมรัฐกรณีพิพาทกับไอทีวีส่อแววเลือกปฏิบัติ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยอมให้ประชาชนได้รับประโยชน์ เมื่อตนเองไม่ได้มีผลประโยชน์ในกิจการนั้น ๆ

ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ร้องต่อศาลปกครองในกรณีสัมปทานไอทีวี ศาลปกครอง (9 พฤษภาคม 2549) ได้มีคำสั่งเพิกถอนคำตัดสินอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2547 กรณีให้ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จ่ายค่าสัมปทานปีละ 230 ล้านบาท จากที่ต้องจ่ายปีละ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งเพิกถอนคำตัดสินที่ให้ไอทีวีปรับลดสัดส่วนนำเสนอรายการข่าวสารสาระต่อรายการบันเทิง จากเดิม 70:30 เป็น 50:50

“หากพิจารณาถึงความเป็นมาของข้อพิพาทระหว่างรัฐกับไอทีวีแล้ว คำตัดสินของศาลปกครองที่มีผลให้เกิดการทวงคืนผลประโยชน์ของประชาชนจากเอกชนในครั้งนี้ จึงเป็นที่มาของข้อสังเกตว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลชุดนี้มีความจริงใจต่อการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนมากน้อยเพียงใด ทั้งที่ท่าทีของรัฐบาลภายหลังจากที่มีคำตัดสินจากอนุญาโตตุลาการให้ สปน. แพ้ไอทีวีเมื่อปี 2547 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายเทอมของรัฐบาลทักษิณ 1 ไม่ได้เร่งรีบในการเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์กลับคืนมาสู่รัฐ แม้จะมีกระแสกดดันจากมวลชนเร่งให้รัฐดำเนินการกับความเสียหายในครั้งนี้ โดยเห็นได้จากพฤติกรรมในขณะนั้นคือ

การเลือกปฏิบัติ สังเกตได้จากผู้นำรัฐบาลมีท่าทีไม่แข็งกร้าวต่อความเสียหายของรัฐที่เกิดจากกรณีไอทีวี ซึ่งแตกต่างจากกรณีค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท ที่นายกฯ แสดงท่าทีขึงขังในการปกป้องผลประโยชน์ให้กับรัฐ โดยพยายามระดมทีมกฎหมายหาช่องยื่นอุทธรณ์เพื่อที่จะไม่จ่ายค่าโง่ดังกล่าวภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ขณะที่ สปน.ใช้เวลาถึง 3 เดือนกว่าจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ ทั้งที่ประกาศว่าจะยื่นคำร้องภายใน 1 เดือน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคำถามว่า การที่ สปน.ฟ้องไอทีวีนั้นทำเพื่อลดกระแสความไม่พอใจของสังคมซึ่งอาจจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงความนิยมในรัฐบาลไทยรักไทย หรือมีความตั้งใจจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

การเจรจาต่อรองที่ส่อแววว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เพียงแต่การฟ้องร้องดำเนินไปอย่างล่าช้า แต่รัฐบาลยังมีความพยายามในการเปิดช่องให้ไอทีวีละเมิดสัญญา โดยขยายช่วงเวลาไพรม์ไทม์ จากเดิมที่ตกลงไว้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลา 19.00 - 21.30 น. เปลี่ยนเป็น 18.00 - 23.00 น. รวมทั้งปรับผังรายการจากเดิมที่ช่วงไพรม์ไทม์จะต้องเป็นรายการข่าวเท่านั้น เปลี่ยนเป็น ให้มีรายการบันเทิงรวมอยู่ในช่วงนี้ด้วย โดยอ้างมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ที่กำหนดให้ออกอากาศรายการเยาวชนเด็กและครอบครัวในช่วงไพรม์ไทม์เวลา 18.00-23.00 น. มาสร้างความชอบธรรมให้กับการปรับผังของไอทีวี”

“พฤติกรรมในขณะนั้นจึงมีความน่าเคลือบแคลงสงสัย เป็นเสมือนละครฉากใหญ่ที่หลอกลวงประชาชน ไม่ผิดกับคำวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ที่มีเสียงครหาถึงการสมรู้ร่วมคิดแบบแยบยล บ่งชี้ถึงความน่าสงสัยว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะกิจการไอทีวีในขณะนั้นคือ หนึ่งในเครือของชินคอร์ปซึ่งยังเป็นของตระกูลชินวัตร”

“วันนี้คำตัดสินของศาลปกครองที่ให้สำนักนายกฯ เป็นผู้มีชัย อาจไม่ใช่การสิ้นสุดของกรณีพิพาท แต่เป็นการแสดงให้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลที่ยอมให้ประชาชนได้รับประโยชน์ เมื่อตนเองไม่ได้มีผลประโยชน์ในกิจการนั้น ๆ แล้ว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอตั้งคำถามให้ทุกท่านช่วยกับขบคิดว่า หากขณะนี้ ไอทีวียังคงเป็นกิจการของคนในรัฐบาลแล้ว ละครเรื่องนี้จะดำเนินไปเช่นไร อาจจะมีใครที่เล่นบทบาทเป็น “มือที่มองไม่เห็น” แทรกแซงการทำงาน เพื่อประโยชน์ของตนเองที่มักจะมาก่อนผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่” ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวสรุป