ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ
พรรคประชาธิปัตย์
และอดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กล่าวถึงการแถลงผลงาน 5
ปีของนายกรัฐมนตรี
ในการบรรยายเรื่อง ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่สภาที่ปรึกษาฯ
เมื่อ 9 ก.พ.
ว่า
เป็นข้อมูลเก่า ๆ
และเป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน
เพราะผลงานรัฐบาลไม่ได้ดีดังที่นายกฯพูด
การบริหารเศรษฐกิจติดกลุ่มแย่ที่สุดในภูมิภาค
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก
เช่น ปี 2544
เศรษฐกิจไทยโต
2.2%
ขณะที่เศรษฐกิจโลกโต 2.4%
และปี
2547
เศรษฐกิจไทยโต 6.2%
และเศรษฐกิจโลกโต
5.1%
และหากพิจารณาการบริหารเศรษฐกิจในปี
2548
ประเทศไทยติดกลุ่มแย่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
ดูได้จากอัตราการขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีเป็นสัดส่วนถึง
16%
อยู่อันดับที่ 36
จาก 38
ประเทศ"
ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมากที่สุดในภูมิภาค
แม้การขาดดุลฯส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความบกพร่องของรัฐบาล
ที่คาดการณ์ราคาน้ำมันผิดพลาด
และใช้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันนานเกินไป
ทำให้การบริโภคน้ำมันไม่ลดลงตามราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี
2548
จึงแย่กว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีถึง
4.1% GDP
หรือคิดเป็นอันดับที่ 28
จาก 28
ประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีข้อมูลตัวนี้
ความเหลื่อมล้ำในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ภาวะภัยแล้ง
และความต้องการของโลกเพิ่มขึ้น
แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้รวมภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
แต่เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน
เพราะการกระจายรายได้ของประชากรในภาคเกษตรแย่ลง
โดยส่วนแบ่งของเกษตรกร 20%ที่มีรายได้ต่ำสุด
มีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก
5.7% ในปี
2543 เป็น
4.5% ในปี
2547
ขณะที่เกษตรกร 20%ที่มีรายได้สูงสุด
มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก
52.4%
เป็น 55.4%
หนี้ต่อรายได้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น
สัดส่วนคนยากจนที่ลดลงเป็นเรื่องธรรมดาในภาวะเศรษฐกิจปกติ
แต่คนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนสะท้อนเพียงภาวะด้านรายได้เท่านั้น
แต่ไม่ได้สะท้อนภาวะด้านรายจ่ายและหนี้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี
2544-2547
รายจ่ายและหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้
ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก
5.63
เท่าของรายได้ครัวเรือน เป็น
6.99
เท่าในช่วง 5
ปีที่ผ่านมา
งบประมาณไม่สมดุลจริง
แม้ว่ารัฐบาลประกาศว่าได้จัดทำงบปี
2548
แบบสมดุล
แต่ในความเป็นจริง
รัฐบาลใช้งบแบบขาดดุล เพราะ ณ
สิ้นปีงบประมาณ
2547
มีเงินคงคลัง
1.46
แสนล้านบาท และหนี้ตั๋วเงินคลัง
1.7
แสนล้านบาท แต่สิ้นปีงบประมาณ
2548
เงินคงคลังเหลืออยู่ 1.04
แสนล้านบาท
ขณะที่หนี้ตั๋วเงินคลังยังอยู่ที่
1.7
แสนล้านบาทเท่าเดิม
หรือหมายความว่าเงินคงคลังลดลง
4.2
หมื่นล้านบาท แสดงว่างบประมาณปี
2548
เป็นงบประมาณแบบขาดดุล
ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ถังแตกแล้ว
ทำไมต้องใช้เงินคงคลัง
ทำไมต้องออกตั๋วเงินคลัง
และทำไมจะต้องออกบอนด์เพื่อแปลงหนี้ตั๋วเงินคลังเป็นหนี้ระยะยาว
ซ่อนภาระผูกพันและหนี้สาธารณะ
รัฐบาลได้พัฒนาวิธีการซ่อนหนี้และภาระผูกพันไว้จำนวนมาก
อาทิ หนี้กองทุนหมู่บ้าน
หนี้เงินกู้พม่าของ EXIM
Bank
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อย้ายหนี้รัฐวิสาหกิจออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ
การจัดตั้ง SPV
เพื่อกู้เงินจากเอกชนโดยไม่ปรากฏเป็นหนี้สาธารณะ
หนี้กองทุนน้ำมัน
รวมทั้งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่อาจทำให้รัฐต้องอุดหนุนในระยะยาว
โดยเท่าที่ผมค้นพบข้อมูลมีมูลค่าภาระผูกพันและหนี้ที่ซุกอยู่รวมกันถึง
546,944
ล้านบาทเป็นอย่างน้อย
ซึ่งหนี้และภาระผูกพันเหล่านี้จะกลายเป็นภาระต่องบประมาณ
หรือเป็นหนี้สาธารณะ
หรือภาระต่อประชาชนในอนาคต
พึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
ความพยายามพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดี
แต่ทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านมากลับเน้นการพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
เพราะรัฐบาลรีบเร่งเปิด
FTA
เพื่อขยายการค้าระหว่างประเทศ
ทำให้สัดส่วนการส่งออกต่อ
GDP เพิ่มขึ้นจาก
56.35%
ในปี 2543
เป็น 59.58%
ในปี 2547
ขัดแย้งกับเป้าหมายที่รัฐบาลเคยตั้งไว้ว่า
จะลดสัดส่วนการส่งออกให้เหลือ
35%
ผมเห็นด้วยว่าประเทศไทยไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัฒน์ได้
และเห็นด้วยว่า
รัฐบาลต้องสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น
(trust and confidence)
ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ดี
สินค้าที่มีคุณภาพ และความโปร่งใส
แต่การสร้างความโปร่งใสจะเกิดผลได้
ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
ผมจึงเรียกร้องให้นายกฯ
เลิกใช้วิธีการเก่า ๆ
คือการพูดความจริงเพียงบางด้าน
เพราะความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดจากการสร้างภาพ
แต่เกิดจากการรู้ความจริงและความเข้าใจสภาพที่แท้จริง
ส.ส.
ปชป.
กล่าว |