ดับฝันรัฐบาล
หมดหวังเศรษฐกิจโตถึงเป้า
..................................................
เกรียงศักดิ์ โต้รัฐบาล “ราคาคุย”
ชี้ปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง
ไม่มีทางโตถึงเป้า 5%
อีกทั้งไร้ปัจจัยเอื้อ
ทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
การเบิกงบกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า
เมกะโปรเจกต์ปีนี้รับรองไม่เกิด
ท่องเที่ยวหดตัว
และส่งออกชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
แนะรัฐบาลยอมรับความจริง
อย่าส่งสัญญาณผิด
หวั่นจูงประเทศสู่วิกฤต
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
สภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร และ
ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมายืนยันเป้าหมายเศรษฐกิจปี
2548 ว่า
จะต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5
ทั้ง ๆ
ที่จากการคาดการณ์ของหน่วยงานต่าง
ๆ ล้วนแสดงให้เห็นว่า
เศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสไม่เป็นไปตามที่นายกฯให้ความหวังไว้
เป็นเพียงราคาคุยเท่านั้น
“จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
แต่รัฐบาลยังไม่ยอมรับความจริงว่า
เศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
สังเกตได้จากภายหลังจากการแถลงข่าวของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)
รัฐบาลกลับแสดงท่าทียืนยันเป้าหมายเดิมออกมา
โดยกระทรวงพาณิชย์ให้ข่าวว่า
จะยังคงเป้าการส่งออกที่ร้อยละ 20
และกระทรวงการคลังออกมาแถลงผลการจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการ
นับเป็นการพยายามทำให้ประชาชนคิดว่า
เศรษฐกิจจะเป็นไปตามที่นายกฯ
เคยให้ความมั่นใจกับนักธุรกิจไว้”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า
รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง
หากพิจารณาเงื่อนไขที่ สศช.ระบุว่าจะมีผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวถึงร้อยละ
5
พบว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขเกือบทุกเงื่อนไข
อันได้แก่
เงื่อนไขแรก
สถานการณ์ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงกว่าเงื่อนไขที่
สศช.ระบุไว้ที่ 40-45
ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดว่า
ไตรมาส 3 และ 4 ราคาน้ำมันดิบดูไบ
ซึ่งเป็นราคาที่ประเทศไทยใช้อ้างอิง
จะอยู่ที่ระดับ 49.87
ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
เงื่อนไขที่ 2
การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ พบว่า
การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าร้อยละ
80 เป็นไปได้ยากมาก
เพราะหากพิจารณาประสบการณ์การใช้จ่ายงบกลางปี
2547 รัฐบาลได้ตั้งงบฯไว้ 5.9
หมื่นล้านบาท
มีการเบิกจ่ายไปเพียง 1.1
หมื่นล้านบาท
หรือเบิกจ่ายไปเพียงร้อยละ 18.6
เท่านั้น
เงื่อนไขที่ 3
รัฐบาลพยายามชูการลงทุนในเมกะโปรเจกต์
ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ในความเป็นจริง
การเร่งรัดการลงทุนเป็นไปได้ยาก
จนถึงขณะนี้มีการจัดสรรงบฯสำหรับเมกะโปรเจกต์ไปแล้วน้อยมาก
อีกทั้งการลงทุนใช่ว่าจะเริ่มได้ทันที
ต้องมีขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้
การยื่นแบบและประกวดราคา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องใช้เวลามากในการเวนคืนที่ดิน
กระบวนการเหล่านี้
น่าจะใช้เวลามากกว่า 3 เดือน
ซึ่งเลยปี 2548 ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น
การศึกษาของเศรษฐกรจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ยังระบุว่า
โครงการเมกะโปรเจกต์ส่งผลต่อ GDP
เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น
เงื่อนไขที่ 4
การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
2 แสนราย
และทำรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
6.4 พันล้านบาท
ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลการท่องเที่ยวในไตรมาสแรกของปี
2548 นักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 13
หรือหายไปกว่า 8 แสนคน
คาดว่าไตรมาส 2
น่าจะยังชะลอตัวอยู่
เนื่องจากเป็น low season
นักท่องเที่ยวจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
น่าจะเป็นช่วงไตรมาสสุดท้าย
จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้
ส่วนเงื่อนไขที่ 5
รัฐบาลบอกว่า
การส่งออกต้องโตร้อยละ 15
โดยเน้นการผลักดันให้มีการส่งออกสินค้าเกษตร
เงื่อนไขนี้แม้มีความเป็นไปได้
แต่สัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรมีเพียงร้อยละ
10.6 ของการส่งออกทั้งหมด
และหากเน้นการส่งออกในสินค้าประเภทอื่น
แม้จะทำให้การส่งออกขยายตัวเกินร้อยละ
15 แต่ GDP อาจจะไม่โตมากนัก
เพราะมีต้นทุนนำเข้าสูง
ยิ่งกว่านั้น
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในปี
2548
ทำให้การขยายการส่งออกเป็นไปได้ยาก
“การที่รัฐบาลเน้นเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อาจสร้างปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
และหากไม่ระมัดระวังอาจนำพาประเทศไปสู่วิกฤต
ผมขอเสนอว่า
รัฐบาลควรยอมรับความจริงว่า
เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว
อย่าส่งสัญญาณผิด
ควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัด
เงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน
การลงทุนในเมกะโปรเจกต์ต้องมีแผนในภาพรวมที่ชัดเจน
และรอบคอบ
ไม่ควรเร่งรีบลงทุนเพียงเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่อาจสร้างปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง”
ส.ส.ปชป.กล่าว
..................................................
|