เมื่อวันที่
26
ธันวาคม
ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้องคดีหมายเลขดำที่
อ.1683/2549
ระหว่างพรรคไทยรักไทย ที่
1
และน.ต.ศิธา
ทิวารี ที่ 2
โจทก์ กับ ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ จำเลย
โดยชี้คดีไม่มีมูล
การแถลงข่าวของ ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้
จึงไม่ถือเป็นความผิด
ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจ
และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์
ได้กล่าวว่า
เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2549
พรรคไทยรักไทยและ น.ต.
ศิธา ทิวารี
ได้ฟ้องตนข้อหาหมิ่นประมาท
โดยอ้างว่าข้อความแถลงข่าวเมื่อวันที่
31
มีนาคม พ.ศ.2549
กล่าวถึงแนวทางการหาเสียงของพรรคไทยรักไทยว่า
ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกและทำไม่ได้จริง
ซึ่งข้อความเหล่านี้ศาลเห็นว่า
เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้จึงยกฟ้อง
ศาลได้ตัดสินว่า
การให้สัมภาษณ์ของผมต่อนักข่าว
ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
เนื่องจากโจทก์ที่ 1
พรรคไทยรักไทยเป็นนิติบุคคลประเภทพรรคการเมือง
ย่อมต้องยอมรับเงื่อนไขตามวิถีทางการเมืองที่เคยปฏิบัติกันมา
คือ อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
และในข้อความที่ผมให้สัมภาษณ์นั้นเป็นความจริงและเป็นการแสดงความคิดเห็นด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนทำได้
อีกทั้งไม่ได้เป็นการจูงใจประชาชนให้ไม่ไปลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งให้
พรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด
ดร.เกรียงศักดิ์
กล่าวต่อไปว่า
เนื้อหาในการแถลงข่าววันนั้น
ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นผลงานตลอด
5 ปี
ของการเป็นรัฐบาลและนโยบายที่จะทำในอนาคต
เช่น กรณีที่อ้างว่าพรรค ทรท.ทำให้เศรษฐกิจปี
2544
โตขึ้นจาก 4.9
เป็น
7.1
ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น
2.2
ล้านบาท
ไม่ได้เกิดจากฝีมือของรัฐบาลทักษิณแต่เกิดจากการส่งออกที่ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้การที่อ้างเสมอว่า
ได้คืนหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด
ทั้งที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในรัฐบาลก่อนเพิ่มขึ้นถึง
32,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่เงินทุนสำรองฯในรัฐบาลทักษิณ
1
นับจนถึงวันที่ชำระหนี้ไอเอ็มเอฟนั้น
เพิ่มขึ้นเพียง 1.7
หมื่นล้านดอลลาร์
และยังขู่ว่าถ้าไม่เลือกพรรค
ทรท.ประเทศไทยจะต้องเข้าไอเอ็มเอฟอีกครั้ง
ทั้งที่ในความเป็นจริงรัฐบาลที่ใช้นโยบายประชานิยม
ขาดวินัยการคลัง
เปิดเสรีอย่างสุดโต่ง
และคอร์รัปชั่นรุนแรงล้วนมีจุดจบที่ไอเอ็มเอฟทั้งสิ้น
ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าเป็นความจริง
ผมไม่คิดที่จะฟ้องกลับ
เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า
แนวทางหนึ่งที่พรรคไทยรักไทยรัฐบาลใช้กำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมือง
คือ การฟ้องหมิ่นประมาท
โดยที่ไม่ใส่ใจในเนื้อหาสาระหรือข้อเท็จจริงที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ผมอยากให้คดีนี้เป็นบทเรียน
ด้วยหวังว่ารัฐบาลชุดนี้และชุดต่อ
ๆ
ไปจะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่ขัดแย้ง
โดยมุ่งเพื่อประโยชน์ของประชาชนสูงสุด
ดร.เกรียงศักดิ์
กล่าวในตอนท้าย