เปิดซีดีคำสารภาพ "ร.ท." อ้างมีสัจจะ ไม่ขอซัดทอด
ระบุเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากการแย่งชิงอำนาจ
พร้อมขอโทษนายกฯ-ประชาชน ศาลทหารไม่ให้ประกันตัว ด้านโฆษก
ตร.ย้ำอีก 10 วันรู้ต้นตอ ขณะที่เมียร้อง ผบ.ตร.
โวยตำรวจปั่นของกลางเพิ่มอื้อ
ขณะที่มือมืดวางบึ้มเก๊ใกล้บ้านนายกฯ
ทิ้งจดหมายด่าต่างหน้า
การลอบวางระเบิดขบวนรถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รักษาการนายกรัฐมนตรี กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที
เมื่อมีความคลางแคลงใจจากหลายฝ่ายว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการจัดฉาก
หรือมีความพยายามจะลอบสังหารนายกฯ จริงๆ ทั้งนี้
พนักงานสอบสวนของกองปราบปรามและกองบัญชาการตำรวจนครบาล
กำลังเร่งคลี่คลายคดี แต่ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหา
ก็ยังคงยืนกรานว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับระเบิดที่พบในรถ
รวมทั้งทางญาติของผู้ต้องหายังติดใจการแถลงข่าวของตำรวจ 2
ครั้ง ที่ระบุของกลางไม่ตรงกัน
เมียโวยตำรวจแถลงมั่ว
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม นางสังวรณ์
กลิ่นชะนะ อายุ 45 ปี ภรรยาของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ
นายทหารช่วยราชการ กอ.รมน.
ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
พร้อมญาติ และนายศิริชัย ภักดี ทนายความ เดินทางเข้าเยี่ยม
ร.ท.ธวัชชัย ที่ห้องควบคุมตัวกองปราบปราม
จากนั้นได้กลับออกมาโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ
ต่อผู้สื่อข่าว อย่างไรก็ตาม
นายศิริชัยได้นำเอกสารที่จัดทำขึ้นมาแจกต่อสื่อมวลชน
โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารร้องเรียนถึง พล.ต.อ.โกวิท
วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีจับกุม
ร.ท.ธวัชชัย
ในข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยเนื้อหาของหนังสือดังกล่าว
ทางญาติสงสัยเรื่องเกี่ยวกับวัตถุระเบิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงคลาดเคลื่อนจากบันทึกการจับกุมเมื่อวันที่
24 สิงหาคม และคำร้องขอฝากขังผลัดแรกของพนักงานสอบสวน
แถลงครั้งสองของกลางเพิ่มอื้อ
สำหรับบันทึกการจับกุม ระบุว่า
ของกลางที่พบในที่เกิดเหตุมี 3 รายการ ได้แก่
วัตถุระเบิดทีเอ็นที 1 ปอนด์ จำนวน 2 แท่ง
ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทผสมน้ำมันเบนซินอยู่ในแกลลอน แกลลอนละ
5 ลิตร จำนวน 10 แกลลอน ฝักแคระเบิดจำนวน 1 ชุด
ซึ่งเป็นคำแถลงของ พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในครั้งแรก
และคำแถลงดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำร้องขอฝากขังผลัดแรกของพนักงานสอบสวน
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา
แต่การแถลงในช่วงต่อมาระบุว่า มีระเบิดทีเอ็นที หนัก 10.73
ปอนด์ ซีโฟร์ 3.5 ปอนด์ แอมโมเนียมไนเตรทผสมน้ำมันดีเซล
บรรจุในแกลลอน แกลลอนละ 5 ลิตร จำนวน 13 แกลลอน น้ำหนักรวม
67.57 กิโลกรัม มีทรายที่ใช้บังคับทิศทางระเบิด แผงวงจร
สายฝักแค ยาว 12.22 เมตร สายปะทุระเบิดชนิดเอ็ม 8 จำนวน 2
ชุด เชื้อปะทุจำนวน 4 ดอก โดยแรงระเบิดมีรัศมีทำลาย 1
กิโลเมตร โดยญาติสงสัยว่าตอนแรกระบุว่ามีของกลาง 3 รายการ
แต่ต่อมามีเพิ่มเป็น 7 รายการ อย่างไรก็ตาม
จากคำแถลงที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนทั้งประเทศตื่นตระหนก
จึงขอร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.โกวิท ผ่านสื่อมวลชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภรรยาของ ร.ท.ธวัชชัย
ได้นำหนังสือร้องเรียนยื่นให้ตำรวจฝ่ายประชาสัมพันธ์
พร้อมแนบบันทึกการจับกุม คำร้องขอฝากขังครั้งแรก
โดยตำรวจฝ่ายประชาสัมพันธ์ กองปราบปราม กล่าวว่า
จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้กองคดีเพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาต่อไป
"จุ้ย"คนจ้างขับรถแค่คำอ้าง
ด้าน พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป.
กล่าวถึงความคืบหน้าในการสอบสวนว่า
ขณะนี้พนักงานสอบสวนมีความมั่นใจในพยานหลักฐาน
ส่วนในการสอบสวนผู้ต้องหานั้นก็จะมีทนายความร่วมรับฟังด้วย
ซึ่งจนถึงขณะนี้ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ
ส่วนกระแสข่าวที่มีนายทหารเชื่อมโยงกับคดีนี้นั้น
พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป
ส่วนกรณี ร.ท.ธวัชชัย อ้างว่า
นายจุ้ยว่าจ้างให้ขับรถนั้น พล.ต.ต.วินัย กล่าวว่า
ถึงตอนนี้ยังไม่พบนายจุ้ย
ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีตัวตนจริงเพราะเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ
ของผู้ต้องหา
ส่วนจะมีพลเรือนมาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ
แต่ส่วนตัวแล้วไม่รู้สึกหนักใจ
เพราะพนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน
ยืนยันไม่มีการจัดฉาก
เมื่อถามถึงกระแสข่าวจัดฉากสร้างสถานการณ์
พล.ต.ต.วินัย กล่าวว่า
คดีนี้มีการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง จะจัดฉากอย่างไร
ขอยืนยันว่า ไม่ใช่การจัดฉากอย่างที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต
พล.ต.ต.วินัย กล่าวด้วยว่า
ขณะนี้ได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 20 ปาก
ส่วนจะมีการจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติมหรือไม่
ยังเปิดเผยไม่ได้ว่าดำเนินการอะไรไปบ้างและได้ผลอย่างไร
แต่หากมีข้อมูลสำคัญที่เปิดเผยได้ก็จะแถลงให้สื่อมวลชนทราบเท่าที่จะเปิดเผยได้
พล.ต.ต.วินัย
กล่าวถึงกรณีที่ญาติผู้ต้องหาเป็นกังวลเรื่องการควบคุมตัว
ร.ท.ธวัชชัย ว่าพนักงานสอบสวนดูแลเป็นอย่างดี
มีการจัดตำรวจเข้าไปนั่งเฝ้าถึงข้างในห้องควบคุมตัว
อีกทั้งตนได้เข้าไปสอบถามผู้ต้องหาด้วยว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร
สบายดีหรือไม่
ส่วนการพิจารณาให้ประกันตัวหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของศาล
แต่พนักงานสอบสวนได้อ้างเหตุผลการคัดค้านการประกันตัวไปแล้วเมื่อการฝากขังครั้งแรก
อดีตนายพลโผล่ยันไม่มีเอี่ยว
ด้าน พล.ต.สมาน เกษรอินทร์
อดีตนายทหารประจำกองทัพบก กล่าวว่า รู้จักกับ ร.ท.ธวัชชัย
มาตั้งแต่ปี 2541 สมัยที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะทำหน้าที่เป็น รปภ.ให้กับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
สมัยดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รมว.กลาโหม กระทั่งวันเกิดเหตุเวลา
09.00 น. ร.ท.ธวัชชัย ได้โทรศัพท์มาบอกว่ารถถูกล็อก
ก็ยังนึกว่ารถถูกล็อกล้อ
จึงให้ลูกน้องโทรศัพท์ไปบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า
ร.ท.ธวัชชัย เป็นทหารอยู่ กอ.รมน.
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บอกว่าครับๆ
หลังจากนั้นได้โทรศัพท์กลับไปถามว่าปลดล็อกล้อหรือยัง
แต่ไม่มีใครรับสาย และอีกไม่นานก็ทราบข่าวว่า ร.ท.ธวัชชัย
วางระเบิด
ลอบวางบึ้มเก๊ใกล้"จันทร์ส่องล้า"
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 06.30 น. พ.ต.ท.ประธาน
แจ่มดวง สารวัตรเวร สน.บางพลัด
รับแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยบริเวณด้านหลังธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนสิรินธร ถนนสิรินธร แขวงและเขตบางพลัด กทม.
หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.บุญส่ง
พานิชอัตรา ผบก.น.7
ที่เกิดเหตุอยู่ภายในรั้วด้านหลังธนาคารไทยพาณิชย์
เจ้าหน้าที่พบวัตถุต้องสงสัยอยู่ในถุงกระดาษสีขาวลายการ์ตูน
เบื้องต้นตรวจสอบภายในถุงพบนาฬิกาปลุกถูกพันด้วยวัสดุสี่เหลี่ยม
แล้วพันด้วยเทปพันสายไฟสีดำ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำยางรถยนต์จำนวน
7 เส้นมาวางล้อมไว้
พร้อมกับใช้เชือกกั้นบริเวณดังกล่าวโดยรอบเพื่อกันประชาชนให้ออกห่างจากพื้นที่
ทั้งนี้
เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาเก็บกู้วัตถุระเบิดนานประมาณ 20
นาที
จึงทราบว่าวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวเป็นเพียงนาฬิกาปลุกขนาด
4x4 นิ้ว ประกบติดอยู่กับแบตเตอรี่เก่า ขนาดหน้ากว้าง 3
นิ้ว ยาว 5 นิ้ว พันด้วยสกอตเทปพันสายไฟสีดำ นอกจากนี้
ยังพบกระดาษขนาดเอ 4
เขียนข้อความด่าทอนายกรัฐมนตรีด้วยคำหยาบคาย
เจ้าหน้าที่จึงเก็บวัตถุทั้งหมดไปตรวจสอบ
ทิ้งจดหมายด่านายกฯ
จากการสอบปากคำพยานในละแวกที่เกิดเหตุ
ไม่มีใครพบเห็นว่าผู้ใดนำมาวางไว้ มีแต่เพียง
รปภ.ของธนาคาร บอกว่า
เห็นถุงกระดาษดังกล่าวมาวางทิ้งไว้ตั้งแต่เวลา 05.45 น.
แต่ก็ไม่ได้สนใจ
กระทั่งมีรถส่งน้ำแข็งถอยมาชนแล้วคนขับตะโกนว่า
"เจอระเบิด"
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ส่งวัตถุทั้งหมดให้กับกองพิสูนจ์หลักฐานตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือ
ด้าน พ.ต.อ.สาทร สายสมบูรณ์ รอง ผบก.น.7 กล่าวว่า
วัตถุต้องสงสัยดังกล่าวเป็นเพียงแท่งแบตเตอรี่เก่าและนาฬิกาปลุกพันด้วยสายไฟ
เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นระเบิด
นอกจากนี้ภายในถุงยังพบจดหมายเขียนด้วยลายมือบนกระดาษเอ 4
มีเนื้อหาด่าทอ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้คาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
จุดที่พบวัตถุต้องสงสัยอยู่ห่างจากซอยจรัสลาภ ประมาณ 300
เมตร
ซึ่งซอยดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อไปถึงบ้านจันทร์ส่องล้าของ
พ.ต.ท.ทักษิณ
ศาลทหารไม่ให้ประกันตัว
ต่อมาเมื่อเวลา 14.15 น. จ.ส.อ.อิทธิพล กลิ่นชะนะ
พี่ชายของ ร.ท.ธวัชชัย ได้เดินทางมาที่ศาลทหาร
พร้อมด้วยทนายความ และภรรยาของ ร.ท.ธวัชชัย
เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลขอประกันตัว ร.ท.ธวัชชัย
ในคดีครอบครองวัตถุระเบิดเพื่อลอบสังหารนายกรัฐมนตรี
โดยครอบครัวกลิ่นชะนะนำโฉนดที่ดินของบิดา
ซึ่งมีการประเมินราคามูลค่า 3 ล้านบาท
ยื่นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
โดยศาลพิจารณาคำร้องยื่นประกันตัวของครอบครัวกลิ่นชะนะเป็นเวลากว่า
3 ชั่วโมง ก่อนจะสรุปว่า
พนักงานสอบสวนยื่นการคัดค้านคำร้องขอประกัน ร.ท.ธวัชชัย
เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จและเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
ศาลจึงพิจารณาคัดค้านการขอประกันตัวของครอบครัวกลิ่นชะนะ
เปิดวีซีดีคำสารภาพ"ร.ท."โชว์สื่อ
ที่ห้องประชุมสุรสีหนาถ กองปราบปราม
เมื่อเวลา 16.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.ท.อชิรวิทย์
สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ
ผบช.ก. พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.วินัย
ทองสอง ผบก.ป.
ร่วมกันแถลงความคืบหน้าในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับ
ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ
ผู้ต้องหามีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
และการขยายผลการสืบสวนหาตัวผู้ร่วมกระทำผิดในคดีลอบสังหาร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
โดย พล.ต.ท.อชิรวิทย์ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สมพงษ์
ชิงดวง ผกก.ฝอ.บก.ป.
พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกองปราบปราม
เปิดวีซีดีที่บันทึกภาพการสอบสวน ร.ท.ธวัชชัย ความยาว
13.09 นาที ต่อสื่อมวลชน
โดยวีดิทัศน์ดังกล่าวเป็นภาพที่ส่วนหนึ่งที่บันทึกระหว่างการสอบสวน
ร.ท.ธวัชชัย
ในภาพบันทึกภายในห้องรับรอง
ในสำนักงานผู้บังคับการกองปราบปราม
ซึ่งใช้เป็นห้องสอบสวนผู้ต้องหาคดีนี้ มี พล.ต.ต.วินัย
ทองสอง ผบก.ป. นั่งหัวโต๊ะ พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง
พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง รอง ผบก.ป. นั่งอยู่ตรงข้าม
ร.ท.ธวัชชัย ส่วนบุคคลที่นั่งขนาบข้าง ร.ท.ธวัชชัย นั้น
ด้านขวามือ คือ พ.อ.สุขสันต์ สิงหเดช ผอ.กองพระธรรมนูญ
กองบัญชาการทหารบก ส่วนทางด้านซ้ายมือ คือ
ทนายความจากสภาทนายความ นอกจากนี้ยังมี พ.ต.สายันต์ ขุนขจี
นายทหารพระธรรมนูญ กรมสารบรรณทหารบก และ พ.ต.อ.สมพงษ์
ชิงดวง ผกก.ฝอ.บก.ป. นั่งอยู่ด้านหลังผู้ต้องหา
"ร.ท."ขอโทษนายกฯ-ประชาชน
ร.ท.ธวัชชัย ได้เปิดใจกับพนักงานสอบสวน
โดยมีใจความโดยสรุปว่า
"เสียใจเมื่อรู้ว่าในรถมีระเบิดร้ายแรง
แสดงว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง ทำให้ไม่ระเบิด
แต่ถ้าระเบิดขึ้นจริงผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจะต้องมีมากมายมหาศาล
จะเป็นตราบาปตลอดไป...คนไทยด้วยกันทำไมต้องทำเช่นนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการแย่งชิงอำนาจ
อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าพูดกัน ให้ยุติกันได้
ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ต้องทำด้วย
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก็อยากขอโทษประชาชนและนายกรัฐมนตรี"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตอนหนึ่งในวีดิทัศน์
ร.ท.ธวัชชัย กล่าวว่า สิ่งที่ตนพูดนั้นพูดเอง
ไม่มีใครบังคับใดๆ ทั้งสิ้น
ที่รับผิดคือรับผิดที่ขับรถคันที่มีระเบิด
ส่วนจะให้ซัดทอดใครคงไม่ทำ เพราะเป็นทหารมีสัจจะ
ยอมรับเฉพาะตัวเอง จากนั้น พล.ต.ต.วินัย กล่าวกับ
ร.ท.ธวัชชัย ว่า เป็นเรื่องดีที่รู้สึกสำนึกเสียใจ
หลังจากนั้น พล.ต.ต.วินัย ได้สอบถาม ร.ท.ธวัชชัย
ในเรื่องทั่วๆ ไปว่า
หากต้องการสิ่งใดก็ให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแล
หรือพนักงานสอบสวนได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ ร.ท.ธวัชชัย
ยังบอกว่าเป็นห่วงครอบครัว
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า
นอกจากนี้ยังทราบว่ารถคันดังกล่าวได้ผ่านมือมาไม่ต่ำกว่า 4
ครั้ง ตำรวจต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนอย่างครบถ้วน
และจะสืบสาวถึงที่มาที่ไปทั้งหมด
โดยรวบรวมพยานหลักฐานที่มีเพื่อดำเนินการขออนุมัติหมายค้นและหมายจับ
โดยมั่นใจว่าจะสืบสวนถึงต้นตอได้ในเร็ววันนี้
คาดว่าคงไม่ช้ากว่า 10 วัน
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า
พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานสามารถฟ้องร้องผู้ต้องหาได้
แต่ต้องการสาวไปให้ถึงต้นตอ ดังนั้น
พนักงานสอบสวนจะทำคดีด้วยความรอบคอบถี่ถ้วน
เพื่อให้ศาลเป็นผู้ตัดสินคดี
ส่วนใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรถือว่าเป็นสิทธิ
แต่อย่าให้เกินขอบเขตกระบวนการยุติธรรม
อย่าตั้งตนเป็นผู้พิพากษาเสียเอง
ประสานกอ.รมน.สอบบิ๊กทหาร
ด้าน พล.ต.ต.วินัย กล่าวเสริมว่า
ส่วนเรื่องเอกสารที่ภรรยาของผู้ต้องหานำมาร้องขอความเป็นธรรมว่า
ของกลางในที่เกิดเหตุไม่ตรงกับบันทึกจับกุม
และคำร้องขอฝากขังนั้น คาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
เพราะเป็นการบันทึกการจับกุมเบื้องต้น
แต่รายละเอียดของของกลางทั้งหมดนั้น
หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด
บช.น.ได้ลงบันทึกและตรวจสอบอยู่เป็นทางการอยู่แล้ว
และมีการถ่ายวิดีโอไว้เป็นหลักฐานแล้วขณะตรวจค้นรถด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก.
ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนเข้าประสานงานกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงใน
กอ.รมน.เพื่อสอบปากคำผู้บังคับบัญชาของ ร.ท.ธวัชชัย
และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าเวรอำนวยการในช่วงก่อนวันเกิดเหตุย้อนหลัง
3 วัน รวมทั้งในวันเกิดเหตุพบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิด
ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สอบปากคำ รปภ.ที่บันทึกรถเข้า-ออกจาก
กอ.รมน.ไปแล้ว โดยบัญชีระบุว่า รถยนต์คันดังกล่าวออกจาก
กอ.รมน.เวลา 05.45 น. นอกจากนี้ได้ขอทราบข้อมูลว่า ภายใน
กอ.รมน.มีกล้องวงจรปิดกี่จุด
และขอภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดมาตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ตัดเส้นผมและเล็บของ
ร.ท.ธวัชชัย
เป็นตัวอย่างเพื่อไปตรวจสอบกับเส้นผมที่พบภายในรถยนต์คันเกิดเหตุ
6 เส้น เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานต่อไป
สอบเสี่ยเต็นท์รถมัด"พ.อ."
เมื่อเวลา 18.00 น.
พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวเจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสองที่ตั้งอยู่ในซอยอินทามระ
38 เข้าพบ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วินัย
ทองสอง ผบก.ป. พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง
และ พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบก.ป.
เนื่องจากการสืบสวนทราบว่า
เจ้าของเต็นท์รถยนต์รายนี้เป็นผู้นำรถยนต์ยี่ห้อแดวูที่บรรทุกระเบิดไปขายให้กับ
"พ.อ." สังกัดกองทัพบกคนหนึ่งราคา 3 หมื่นบาท
เจ้าของเต็นท์รถระบุว่า
รถยนต์คันนี้เดิมมีสีเขียวโดยซื้อมาจากนายศักดิ์ ในราคา 5
หมื่นบาทเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนนำมาจอดขายที่เต็นท์
แต่เนื่องจากเป็นรถที่ตลาดไม่ต้องการจึงขายไม่ได้
กระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา
มีนายทหารคนดังกล่าวมาติดต่อขอซื้อไปด้วยเงินสด
หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าเจ้าของรถนำไปใช้ทำอะไรที่ไหน
ส่วนทางด้านการขยายผลสืบสวนหาตัวผู้ร่วมขบวนการนั้น
ทางการสืบสวนพบว่าในคดีนี้มีกลุ่มผู้ร่วมขบวนการหลายคน
ซึ่งนอกจาก พ.ท.นายหนึ่งแล้ว
ยังมีนายทหารที่ร่วมขบวนการอยู่อีก 2-3 ราย
ทักษิณเครียดหลังพบระเบิดใกล้บ้าน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่ตึกสันติไมตรี
ทำเนียบรัฐบาล
ก่อนเป็นประธานพิธีมอบประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นประจำปี
2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
ปฏิเสธที่จะตอบข้อถามของผู้สื่อข่าวถึงการพบวัตถุต้องสงสัยที่บริเวณธนาคารไทยพาณิชย์
ใกล้ซอยจรัสลาภ
ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถผ่านเข้าออกบ้านพักของ
พ.ต.ท.ทักษิณได้อีกเส้นทางหนึ่ง โดยมีสีหน้าเคร่งเครียด
จนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ
ก่อนที่จะขึ้นไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า
พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังคงไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถามถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล
1
กล่าวภายหลังจากที่ได้ตรวจตราดูความเรียบร้อยโดยรอบและภายในทำเนียบรัฐบาลว่า
ได้มาดูแลความปลอดภัยภายในทำเนียบ และโดยรอบตามปกติ
ซึ่งมีการเพิ่มความเข้มในการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้มากขึ้น
ซึ่งยอมรับว่าหลังจากที่เกิดขบวนการลอบสังหารรักษาการนายกฯ
แล้ว
ก็มีการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการดูแลความปลอดภัยอีก
30%
พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาให้ลงมาดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้มากขึ้นด้วย
เมื่อเวลา 06.30 น. ที่บริเวณธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนสิรินธร แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม.
พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด ห่างจากปากซอยจรัสลาภ
ซึ่งเป็นทางเข้าออกบ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นอย่างละเอียด
และมีการประสานไปยังหน่วยรักษาความปลอดภัยของรักษาการนายกฯ
ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานเพื่อติดตามความคืบหน้า
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้เดินทางออกจากบ้านพักซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 เมื่อเวลา
08.50 น.
เพื่อมาเป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น
ปี 2549 (PM Award 2006) ที่ทำเนียบ ในเวลา 10.00 น.
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนออกจากบ้านพัก
เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียด
เพราะในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่าพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดอยู่ภายในรั้วของธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาถนนสิรินธร ห่างจากซอยจรัสลาภไปประมาณ 300 เมตร
ซึ่งซอยดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อซอยจรัญสนิทวงศ์ 69
เข้าออกบ้านพักรักษาการนายกรัฐมนตรีได้
แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า
วัตถุต้องสงสัยดังกล่าวเป็นเพียงแท่งแบตเตอรี่เก่าพันด้วยสายไฟและนาฬิกาปลุก
เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นวัตถุระเบิด
ขณะเดียวกัน ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69
และซอยจรัสลาภ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยตรวจตราและยืนประจำจุดเพื่อดูแลความเรียบร้อย
โดยเฉพาะเวลาที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากบ้านพัก
ซึ่งครั้งนี้ได้ใช้เส้นทาง ถ.สิรินธร
ขึ้นสะพานข้ามแยกบางพลัด
ซึ่งเป็นจุดที่พบรถแดวูบรรทุกระเบิดจอดอยู่ในครั้งแรก
เพื่อข้ามสะพานกรุงธน (ซังฮี้) ก่อนจะเลี้ยวเข้า
ถ.อู่ทองใน ผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า
เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก เพื่อมุ่งตรงเข้าทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่รักษาการนายกรัฐมนตรีใช้เป็นประจำ
"สุดารัตน์" ระบุพัลลภปฏิปักษ์รัฐบาล
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
กล่าวถึงกรณีการตรวจพบระเบิดต้องสงสัยลอบสังหารรักษาการนายกฯ
ว่าเป็นการข่มขู่เพื่อให้บ้านเมืองปั่นป่วน
เรื่องนี้ไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนนี้อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ ตำรวจกำลังสอบสวนดำเนินคดีอยู่
เพราะที่ตำรวจจับได้เคยทำงานเป็นลูกน้องของ พล.อ.พัลลภ
ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.
ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลมาโดยตลอด
ถ้าเกิดรัฐบาลต้องการสร้างสถานการณ์จะไปว่าจ้างลูกน้องของคนที่เป็นปฏิปักษ์ได้อย่างไร
ต่อกรณีผลการสำรวจของประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่เชื่อว่าเป็นการลอบสังหารรักษาการนายกฯ
โดยเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์นั้น คุณหญิงสุดารัตน์
กล่าวว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
แต่ที่เอาระเบิดไปวางไว้หน้าพรรคบางพรรคก่อนหน้านี้
อย่างนั้นสมควรเรียกว่าจัดฉากมากกว่า
เพราะระเบิดก็มีรัศมีเพียง 1 เมตรเท่านั้น
คุณหญิงสุดารัตน์
ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
ตนเองไม่รู้สึกหวาดกลัว
เพราะเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังควรเห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง
จะยอมให้ถึงวันเลือกตั้งไม่ได้เลยหรืออย่างไร
สมศักดิ์ติงอย่านำคาร์บอมบ์รับใช้การเมือง
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย
กล่าวถึงกรณีการจับนายทหารที่ขับรถขนวัตถุระเบิดที่ถูกระบุว่าเป็นการพยายามลอบสังหาร
พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า
อยากเรียกร้องให้สังคมไทยทั้งหมดตั้งสติต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
โดยผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหยุดวิจารณ์
แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบต้องเร่งสืบสวนสอบสวนก่อนสรุป
โดยทำความจริงทุกอย่างให้ปรากฏ พร้อมพยาน หลักฐาน
เอกสารที่สามารถเชื่อถือได้
โดยผู้ที่แถลงต้องเป็นบุคคลที่เป็นกลาง มีความน่าเชื่อถือ
"ยิ่งมีคนเป็นอดีต ส.ส.อย่าง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย ออกมาตอกย้ำว่า
พร้อมที่จะเป็นระเบิดพลีชีพ
โดยดึงและอ้างถึงพี่น้องคนไทยในภาคอีสานอีกเป็นจำนวนล้านคนที่จะปกป้องนายกฯ
ก็ยิ่งเป็นการสร้างความแตกแยกของสังคมเพิ่มขึ้นอีก"
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังเกิดเหตุ นายกฯ
ได้ออกมาระบุว่า
เหตุการณ์นี้เป็นความพยายามลอบสังหารตามข่าวกรองที่ได้มา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็อย่างที่ว่า
อย่าสร้างความสับสนเพิ่มขึ้นให้สังคม
โดยปล่อยให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบที่สังคมยอมรับทำหน้าที่หาความจริงให้เร็วที่สุด
และแถลงแจกแจงเพื่อลดความเคลือบแคลงต่อกรณีนี้
ไม่ใช่ออกมาพูดตามสถานการณ์วันต่อวัน
ไม่ใช่เอาสถานการณ์นี้ไปรับใช้ทางการเมือง
เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องกล้าหาความจริง
อย่าเกรงใจฝ่ายการเมืองเพราะหลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบจริงๆ ยังไม่ออกมาพูดเลย
อภิสิทธิ์พูดกันเกินเลยไม่น่าเชื่อถือ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึงการที่ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เรียกร้องให้หยุดวิจารณ์เกี่ยวกับการลอบวางระเบิดรักษาการนายกรัฐมนตรีว่า
ทุกฝ่ายน่าจะเห็นตรงกันว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา
และควรให้มีการสอบสวนไปตามข้อเท็จจริง
โดยไม่มีเป้าหมายอะไรทางการเมือง
ตรงนี้จะเป็นจุดที่สร้างความเชื่อมั่นของประชาชนและทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศน้อยที่สุด
ส่วนตำรวจก็ต้องรู้หน้าที่ของตนเองจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะที่ผ่านมาการเสนอข่าวสารไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริง
แต่เสนอบางเรื่องที่มันเกินเลย
จนทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอานุภาพแรงระเบิด รถยนต์มี 2 คัน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
แถลงว่า พรรคยืนยันว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของพรรค
ตั้งแต่หัวหน้าพรรค
รวมทั้งตนเป็นการพูดบนหลักเหตุผลและความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ
ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ให้เป็นประเด็นทางการเมือง
และขอฝากไปยังโฆษก สตช.ว่า ควรจะบอกรักษาการนายกรัฐมนตรี
คนในคณะรัฐมนตรี
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสืบสวนไม่ควรด่วนสรุปว่า
เป็นการลอบสังหารรักษาการนายกฯ
นายองอาจ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องคนกลุ่มนี้
รวมทั้งนายตำรวจระดับสูงบางคนให้ข้อมูลเกินเลยความจริง
และที่น่าวิตกกังวลคือ แนวทางการสืบสวนของตำรวจ
และรัฐบาลกลับไม่พุ่งเป้าว่าเหตุใดจึงมีการนำวัตถุอานุภาพร้ายแรงมาไว้ในรถ
ต้องสืบสวนให้ได้ว่าวัตถุร้ายแรงนี้หลุดรอดมาจากหน่วยงานใด
พร้อมกันนี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนกลุ่มคนรากหญ้าที่มาเรียกร้องขอชีวิต
พ.ต.ท.ทักษิณ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ที่หน้าบ้านพักว่าเป็นใครมาจากไหน
เพราะมาในวันถัดจากเกิดเหตุเพียงวันเดียว
ซึ่งไม่น่าจะเตรียมการกันได้รวดเร็วขนาดนั้น
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
รองประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค
กล่าวถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจว่า
ขณะนี้สังคมไม่มั่นใจกระบวนการสอบสวนคดีวางระเบิดและเชื่อว่าเป็นการจัดฉาก
ซึ่งความเชื่อนี้จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตกต่ำอย่างรุนแรง
เพราะการจัดฉากเป็นการส่งสัญญาณว่า
รัฐบาลต้องการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด
และอาจตีความได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการกลับมาเป็นนายกฯ
อีก ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไม่จบ
"แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว นักลงทุนก็ยังกังวลว่า
รัฐบาลจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการประกาศภาวะฉุกเฉิน
ยิ่งเป็นอันตรายต่อภาวะเศรษฐกิจมาก" นายเกรียงศักดิ์
กล่าวพร้อมกับเสนอว่า ควรให้มีการตั้งคณะกรรมการ 4
ฝ่ายขึ้นมาสอบสวน คือตำรวจ ทหาร
พลเรือนที่เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด
และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
หมอประเวศวิเคราะห์เหตุลอบสังหาร
น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส
ได้เขียนบทความเรื่อง "ฆาตกรรมทักษิณ
เรื่องจริงหรือสร้างสถานการณ์" โดยระบุตอนหนึ่งว่า
เหตุการณ์พยายามลอบสังหารนายกรัฐมนตรีด้วยวัตถุระเบิดในรถยนต์เมื่อวันที่
24 สิงหาคม มีผู้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงก็มี
เชื่อว่าเป็นเรื่องสร้างสถานการณ์ก็มี
ความจริงจะเป็นอย่างไรต้องพิสูจน์กันด้วยหลักฐานที่เชื่อถือได้
ถ้าตำรวจทำฝ่ายเดียวก็จะมีปัญหาเรื่องความเชื่อถือได้ตามมาอีก
ควรคำนึงถึงประเด็นนี้ไว้ด้วย
ขณะนี้ยังต้องถือว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสร้างสถานการณ์เป็นเพียงสมมติฐานที่รอการพิสูจน์
ในที่นี้จะขอวิเคราะห์ที่มาที่ไป หรืออิทัปปัจจยตา
ของทั้งสองสมมติฐานและข้อเสนอแนะ
ทั้งนี้ได้ตั้งสมมติฐานว่า
หากการลอบสังหารเป็นเรื่องจริงก็น่าจะมีเหตุมาจาก
มีผู้เกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ มากถึงขั้นพยายามลอบสังหาร
แต่คนไทยถึงจะเกลียดผู้นำอย่างไร การคิดสังหารนั้นมีน้อย
ต่างจากในสหรัฐอเมริกาที่เขาสังหารประธานาธิบดีไปหลายคนแล้ว
ถ้าคราวนี้เป็นเรื่องจริงก็แปลว่า
สังคมไทยมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
คือเปลี่ยนจากปริมาณไปสู่คุณภาพ
หมายความว่าปริมาณความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดเดือด
ทำนองเดียวกันเมื่อความร้อนของน้ำในกาเพิ่มมากขึ้นจนถึงขนาดน้ำก็เดือด
น.พ.ประเวศ กล่าวว่า
หากการลอบสังหารเป็นการสร้างสถานการณ์ก็มีที่มาที่ไป
เพราะผู้มีอำนาจต้องการกลบเกลื่อนบางเรื่อง
ต้องการเบนความสนใจของสังคมหรือต้องการใช้เป็นเครื่องมือขจัดศัตรูบางคน
แต่ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะเสื่อมความเชื่อถือลงไปอีก
รัฐบาลจะเหมือนเด็กเลี้ยงแกะพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ
ถึงจริงก็ไม่เชื่อ แล้วก็ถูกเสือกัดตาย
ถ้าทำเพราะต้องการป้ายสีหรือขจัดศัตรู
ความขัดแย้งก็จะเพิ่มขึ้น ไปกระตุ้นให้คนเกลียด
เกลียดมากขึ้น คนเป็นศัตรูเป็นศัตรูมากขึ้น
และคิดขจัดผู้มีอำนาจด้วยวิธีรุนแรงมากขึ้น
และถ้าทำเพราะปูทางไปสู่การยึดอำนาจเพื่อหลบเลี่ยงการตัดสินของศาล
ประชาชนจะรวมตัวกันต่อสู้เช่นที่เคยต่อสู้กับเผด็จการในอดีต
จะเกิดการนองเลือด
และในที่สุดผู้เผด็จการจะพ่ายแพ้ภัยตนเอง
น.พ.ประเวศ ยังมีข้อเสนอแนะต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า
ถ้าในอนาคต พ.ต.ท.ทักษิณมีโอกาสอยู่ในความสงบ
และทบทวนเรื่องอดีตที่ผ่านมา จะทราบว่า
ตนไม่ใช่ศัตรูหรือขาประจำของ พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่พยายามแนะนำในเรื่องต่างๆ
ซึ่งกรณีลอบสังหารไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ล้วนแล้วแต่จะพา พ.ต.ท.ทักษิณไปสู่โครงสร้างมรณะทั้งสิ้น
"เวลาที่คุณจะทำประโยชน์ในฐานะนายกรัฐมนตรีหมดลงแล้ว
คุณได้ผ่านจุดยอดที่มีอำนาจสูงสุด
และมีผู้คนสนับสนุนสูงสุดไปแล้ว
แม้ในจุดที่สูงสุดนั้นคุณยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่สำคัญๆ
ของบ้านเมืองได้ ถ้าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความเกลียดชัง
ท่ามกลางความไม่เชื่อถือ จะแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างไร
ในทางตรงข้าม จะเกิดความแตกแยกและรุนแรงมากขึ้น
และอาจนำไปสู่การนองเลือด"
น.พ.ประเวศ กล่าวว่า ทางออกจาก "โครงสร้างมรณะ"
ด้วยสันติวิธี คือ
พ.ต.ท.ทักษิณต้องตัดความกังวลด้วยประการทั้งปวง
มีความกล้าหาญที่จะประกาศ 3 ข้อดังต่อไปนี้ 1.พูดว่า
"ผมพอแล้ว" แล้ววางมือทางการเมืองทั้งหมดเด็ดขาดทันที
2.ขอร้องให้ประชาชนผู้สนับสนุนจงร่วมมือสมัครสมานในแก้ปัญหาประเทศด้วยสันติวิธีและสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
3.จะออกไปทำงานทางมนุษยธรรมแบบ บิล เกตส์ ถ้าทำได้ดังนี้
จะเกิดความสงบเย็นทันที ทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณเองและประเทศ
ถ้าไม่ทำคงหนีการนองเลือดไม่พ้น
พันธมิตรใต้ให้กำลังป๋าเปรม
วันเดียวกัน ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธปไตย 14 จังหวัดภาคใต้
จำนวนประมาณ 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจ พล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ถึงเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การลอบวางระเบิดสังหาร
พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ปรากฏตามสื่อมวลชนไปก่อนหน้านี้
โดยหนึ่งในกลุ่มพันธมิตร กล่าวว่า
การกระทำดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสม และพยายามโยง
พล.อ.เปรมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
พวกเราชาวใต้ทนไม่ได้กับการถูกกล่าวหาดังกล่าว
และรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และขอร้องอย่านำ
พล.อ.เปรมมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจเผด็จการของคนบางคน
ที่ต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังจากนั้นได้มีนายทหารคนสนิท
พล.อ.เปรมออกมารับหนังสือของกลุ่มผู้ชุมนุม
ก่อนที่จะสลายตัวไปในที่สุด
|