ThaiPost.net : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด

14 สิงหาคม 2549

สั่งเกณฑ์คนรับแม้วตรวจราชการภาคเหนือ/ปชป.โวย2แสนล.แก้จนสัญญาจะให้

"ทักษิณ" บุรุษผู้ไม่รู้จักคำว่าจริยธรรมการเมือง อ้างตรวจราชการบังหน้าหาเสียงบ้านเกิด 4 จังหวัดภาคเหนือ ไม่กล้าแจกแต่หลิ่วตาให้ข้าราชการเกณฑ์ชาวบ้านมาให้กำลังใจ

ปชป.ชำแหละ 2 แสนล้านแก้จน เข้าข่ายสัญญาจะให้และทำไม่ได้ตามเป้า ระบุเชียงใหม่ทุกวันนี้รับเละอำเภอละ 833 ต่อปีแต่ตัวเลขคนจนกลับพุ่ง "ชูวิทย์" ถือคติไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ฟัดดะ 2 พรรคใหญ่ลามถึงประชาราช ตั้งฉายาพรรค 3 เขี้ยว

ห้วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยในช่วงเที่ยงได้ขับรถพาคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ออกจากบ้านพักซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผย ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งเจ้าหน้าที่ติดตามให้บอกกลุ่มผู้สื่อข่าวว่าขอเป็นหมายส่วนตัว ไม่ให้ติดตาม

รักษาการนายกรัฐมนตรีกำหนดที่จะเดินทางไปตรวจราชการยังจังหวัดภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 14-17 สิงหาคม 2549 โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ไปตรวจราชการยังภาคอีสานที่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าแท้จริงคือการไปหาเสียง โดยมีกำหนดการไปแจกโค โฉนดที่ดิน และสิ่งของอื่นๆ ในหลายพื้นที่ ทว่า เมื่อมีผู้ระบุว่าน่าจะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก็มีการมอบหมายให้ข้าราชการแจกแทน

การเดินทางไปตรวจราชการยังจังหวัดภาคเหนือได้วางกำหนดไว้ดังนี้ นายกฯ และคณะเดินทางด้วยเครื่องบินแอร์บัส 319 ของกองทัพอากาศ จาก บน.6 เวลา 09.00 น.วันที่ 14 สิงหาคม ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์และรถยนต์ไปยังนิคมเศรษฐกิจพอเพียง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เยี่ยมชมครอบครัวเกษตรกรเศรษฐกิจพอเพียง ตรวจเยี่ยมการจัดการนิยมเศรษฐกิจพอเพียง พบผู้ประกอบการด้านการตลาดผลผลิตของนิคม พบเกษตรกรในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ก่อนที่นายกฯ จะกลับมาประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ ที่ห้องประชุมตำรวจภูธรภาค 5

เวลา 16.50 น. นายกฯ และคณะไปยังศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ เป็นประธานในการประชุมผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน "มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติราชพฤกษ์ 2549" แล้วไปดูโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

เวลา 19.35 น. นายกฯ เป็นประธานพิธีถวายพระพรในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก่อนที่นายกฯ กับคณะจะเข้าพักที่กรีนวัลเลย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม นายกฯ เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยระบบการประชุมวีดีทัศน์ทางไกล ณ บ้านพักกรีนวัลเลย์

เวลา 12.30 น. นายกฯ เดินทางโดยรถยนต์ไปศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามโครงการพระราชดำริ ไปสำนักงานโครงการหลวง อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ ก่อนจะนั่ง ฮ.ไปยัง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปยังโรงเรียนอนุบาลเชียงของ พบปะและตรวจเยี่ยมโครงการเด็กหัวแหลม รวมทั้งพบปะประชาชน

เวลา 16.05 น. เดินทางโดยรถยนต์ไปโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อ.เมืองฯ จ.เชียงราย รับฟังผลการดำเนินนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของ จ.เชียงราย พบปะมวลชนที่มาให้การต้อนรับ แล้วเดินทางกลับเชียงใหม่ พบกับนักธุรกิจที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว อ.เมืองเชียงใหม่ รับประทานอาหารค่ำ ก่อนกลับไปพักที่กรีนวัลเลย์

วันพุธที่ 16 สิงหาคม นายกฯ ไปยังวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นประธานการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คณะกรรมการอาชีวศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และธนาคารออมสิน ในนโยบายช่วยเหลือนักเรียนอาชีวะ และเปิดศูนย์บ่มเพาะอาชีวศึกษาแห่งชาติ จากนั้นไปชมโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเอสเอ็มแอล ที่บ้านท่ากาน หมู่ที่ 5 ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง พบปะประชาชน

เวลา 11.00 น. นายกฯ และคณะเดินทางโดย ฮ.จากสนามบินเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ ไป จ.ตาก รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมเซ็นทรัลแม่สอดฮิลล์ อ.แม่สอด ฟังบรรยายสรุปเรื่อง ผลการดำเนินการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจชายแดน จ.ตาก และโครงการตามนโยบายรัฐบาล โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว (แคดเมียม) พบปะประชาชนบริเวณสนามด้านข้างโรงแรมเซ็นทรัลแม่สอดฮิลล์ ตรวจเยี่ยมค่ายชายแดน อ.แม่สอด

เวลา 15.30 น. เดินทางด้วยเครื่องบินจากสนามบินแม่สอดไปยังจังหวัดพิษณุโลก พบประชาชนในตัวเมืองพิษณุโลก พักค้างคืนที่โรงแรมอมรินทร์ลากูน อ.เมืองพิษณุโลก

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม เดินทางกลับ

มีรายงานว่า การเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ ปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่เป็นประเด็นหนึ่งที่นายกฯ ให้ความสนใจ หน่วยงานจึงเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ กล่าวว่า ตามที่ได้ประชุมร่วมกันกับจังหวัดเชียงใหม่เรื่อง การขุดขยายแม่น้ำปิงจำนวน 7 จุดที่เป็นคอขวดนั้น ขณะนี้เทศบาลเชียงใหม่ได้เร่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆ ในพื้นที่ โดยเช้าวันที่ 13 ส.ค. ได้ดำเนินการขุดลอกที่บริเวณเชิงสะพาน ร.9 และข้างกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันทางกรมขนส่งทางน้ำและหน่วยงานทหารพัฒนา เริ่มดำเนินการขุดลอกเพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่พายุลูกใหม่จะเข้ามา

นายสมบูรณ์ บุญชู รองประธานฝายพญาคำ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนของชาวบ้านผู้ใช้น้ำใน 3 ฝายคือ ฝายพญาคำ, หนองผึ้ง และท่าวังตาล ซึ่งเป็นฝายหินทิ้งที่รัฐเตรียมจะรื้อเพื่อดำเนินโครงการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่นั้น ชาวบ้านยังยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการรื้อฝาย และขณะนี้ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการสั่งรื้อฝายดังกล่าวไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกรอบแล้ว โดยยื่นผ่านทางนายวีรชัย วราภาสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ สำนักชลประทานที่ 1 เพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ทบทวนการสั่งรื้อฝายในโอกาสที่มาตรวจราชการที่ จ.เชียงใหม่

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางไปตรวจราชการ 4 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่, เชียงราย, ตาก และพิษณุโลก ได้ตัดกิจกรรมนายกฯ แจกสิ่งของให้ประชาชนออกจนหมด หลังส่อว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย เหลือเพียงการระดมมวลชนมารับฟังการปราศรัยของนายกฯ เป็นจุดๆ เท่านั้น

มีรายงานจากอำเภอแม่สอด จ.ตาก ว่าขณะนี้ฝ่ายปกครองจังหวัดตากได้ขอความร่วมมือผ่านไปยังนายอำเภอ 5 อำเภอชายแดน คือ อำเภอแม่สอด, พบพระ, อุ้มผาง, ท่าสองยาง และแม่ระมาด ให้ระดมประชาชนอำเภอละ 500 คนไปต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางจาก จ.เชียงใหม่ ไปยังท่าอากาศยานแม่สอด ซึ่งทางอำเภอได้มีคำสั่งด้วยวาจาให้ทาง อบต. และเทศบาลช่วยระดมชาวบ้านด้วย โดยให้ไปรับคณะนายกฯ ที่ท่าอากาศยานแม่สอด ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาระขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องหางบประมาณจัดรถรับส่งชาวบ้าน

แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีคำสั่งจากฝ่ายปกครองให้ทุก อปท.ในพื้นที่ทั้ง อบจ.เทศบาล และ อบต. นำชาวบ้านมาต้อนรับและให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการย้ำว่าอย่างน้อยจะต้องมีประชาชนมาให้การต้อนรับไม่น้อยกว่า 5,000-10,000 คน การระดมคนจาก อปท.มาครั้งนี้เพราะ CEO ตากหวั่นว่าจะมีม็อบต่อต้านนายกฯ ทักษิณมาประท้วงขับไล่ จึงต้องเกณฑ์คนมาให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีให้มากที่สุด

แหล่งข่าวนักการเมืองท้องถิ่นกล่าวว่า การเดินทางมาตรวจราชการของรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ อ.แม่สอด มีจุดประสงค์แท้จริงเพื่อหาเสียงมากกว่า โดยรัฐมนตรีที่ติดตามนายกฯ มีคำสั่งก่อนหน้านี้แล้ว ให้ข้าราชการช่วยเหลือผู้สมัครพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ด้านความเคลื่อนไหวของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในภาคเหนือ ทั้งตอนบนและตอนล่าง ได้เตรียมรับการเดินทางมาของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างคึกคัก สาระสำคัญของการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือ การตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการกระทำอันเป็นการใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหาเสียงเพื่อประโยชน์ของพรรคไทยรักไทยมากน้อยแค่ไหน โดยจะรวบรวมหลักฐานเสนอให้ กกต.ชุดใหม่ตรวจสอบดำเนินการเอาผิดต่อไป

"กกต.เคยมีวินิจฉัยว่า การแจกนาฬิกาก่อนหน้าพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้ก็ผิดถูกใบแดง ในรอบนี้ก็เหมือนกัน เพราะการจ้างคนหรือเกณฑ์คนก็เข้าข่ายใช้อำนาจเพื่อผลการเลือกตั้ง แค่มีคลิปวิดีโอการขนชาวบ้านมา ถ่ายภาพรถและทะเบียนรถหรือหลักฐานอื่นๆ มาได้ ก็อาจจะมีการฟ้องร้องต่อบุคคลเหล่านี้ รวมถึงคนที่สั่งการด้วยกฎหมาย ตัวเดียวกับที่เอาผิดอดีต กกต." ตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรฯ ภาคเหนือคนหนึ่งระบุ

นายสาคร สงมา แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จากพิษณุโลก กล่าวว่า จะจัดชุมนุมใหญ่ประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมายัง อ.แม่สอด จ.ตาก และจะเดินทางเข้าพักที่จังหวัดพิษณุโลก โดยทางกลุ่มได้เรียกร้องประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ให้ออกมารวมพลังกันที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงข่าวในประเด็นการเมืองหลายเรื่อง นายเกียรติ สิทธีอมร กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรค กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า การทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับ 4 ประเทศ ทำให้การส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้น 3.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ว่าไม่ทราบใครทำตัวเลขให้นายกฯ ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ แต่ในความเป็นจริงกลับขาดดุลด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับประเทศออสเตรเลีย ที่ก่อนหน้านี้ถ้าเทียบตัวเลขประเทศไทยทำการค้ากับออสเตรเลียนั้นเกินดุลมาตลอด กระทั่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะขาดดุล ขณะที่การค้ากับประเทศจีนตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน ไทยขาดดุลประเทศจีนทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านบาท

นายเกียรติกล่าวว่า การที่รักษการนายกฯ อ้างว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นนั้นก็ไม่จริง ดูได้จากการที่เอเชียมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 7.5 แต่ประเทศไทยเติบโต 4.5 เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าไทยเติบโตเฉลี่ยน้อยกว่าเวียดนาม เศรษฐกิจภาพรวมวันนี้มีปัญหาเรื่องดุลการค้าที่มีสัญญาณเริ่มไม่ดี เงินคงคลังถดถอย เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า

"ฝากไปถามนายกฯ ที่จะเพิ่มงบประมาณในการแก้ไขปัญหาความยากจนจำนวน 2 แสนล้านบาท ว่าจะเอาเงินดังกล่าวมาจากไหน เพราะในความเป็นจริงรัฐบาลไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น" นายเกียรติกล่าว

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่นายกฯ พยายามพูดถึงนโยบายการชูเงิน 2 แสนล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน คำพูดของนายกฯ ดังกล่าวถือเป็นนโยบายหาเสียงที่หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเกี่ยวกับการสัญญาว่าจะให้ ถือเป็นการหลอกลวงคนจนทั่วประเทศให้มีความหวังเพียงเพื่อเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ ซึ่งนอกจากมีเจตนาแอบแฝงเพื่อหวังผลคะแนนในการเลือกตั้งแล้ว ยังเป็นการปลุกกระแสให้คนจนทั่วประเทศเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดวิกฤติหลายด้าน คือ 1.วิกฤติความแตกแยกในบ้านเมือง การแสดงออกของประชาชนที่มีความเห็นขัดแย้งกัน 2.วิกฤติคุณธรรม จริยธรรม ทั้งระดับผู้นำประเทศ ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการประจำ ภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ 3.วิกฤติค่าครองชีพและความยากจนที่ประชาชนสามารถสัมผัสได้ เช่น ปัญหาน้ำมันราคาแพง, ก๊าซราคาสูงขึ้น 4.วิกฤติเรื่องความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจไทยที่ไม่ได้เจริญเติบโตกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลพยายามละเลยที่จะพูดถึงวิกฤติ เพราะรัฐบาลตั้งโจทย์ในการแก้ปัญหาผิดพลาด เนื่องจากรัฐบาลเอาเงินมาเป็นตัวนำแก้ไขปัญหา ใช้ตัวเลขจีดีพีเป็นตัววัดในทุกเรื่อง ทำให้เกิดความผิดพลาด ทั้งนี้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ไม่ได้เกิดจากรัฐบาล แต่เติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก รัฐบาลมองการบริหารประเทศแบบกำไร-ขาดทุนเหมือนการบริหารบริษัท และมีผลประโยชน์แอบแฝงในทุกด้าน

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าคนกรุงเทพฯ ถูกหลอกนั้น เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น สิ่งที่นายกฯ พูดเป็นสิ่งที่เก็บกดในใจจากการแพ้การเลือกตั้ง ส.ก., ส.ข. จึงคิดว่าคนกรุงเทพฯ ถูกหลอก แต่ทั้งนี้ตนเห็นว่านายกฯ หลอกคนกรุงเทพฯ ไม่ได้มากกว่า และเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ จะให้บทเรียนกับนายกฯ หากยังไม่เปลี่ยนวิธีการมองคนในประเทศที่คนเป็นนายกฯ ควรมองด้วยความเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

นายองอาจกล่าวว่า ในการสัมมนาผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยได้ออกเอกสารใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ 6 ประการ คือ 1.ข้อกล่าวหาว่าประชาธิปัตย์เคยโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2489 เพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนนั้น ข้อเท็จจริงพรรคประชาธิปัตย์เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2489 พรรคคงไม่มีความสามารถสูงที่จะถึงขั้นมีความคิดตั้งพรรคขึ้นมาล้มรัฐบาลได้ และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การเปลี่ยนรัฐบาลเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยปกติ ประชาธิปัตย์ไม่เคยใช้อำนาจ ความรุนแรง หรืออาวุธไปจี้หรือล้มรัฐบาล

2.กรณีการต่อสู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2516 ไม่มีชื่อนายชวน หลีกภัย เป็นหนึ่งใน 100 ชื่อของบุคคลผู้กล้าเรียกร้องรัฐธรรมนูญ รวมถึงต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ปี 2535 ไม่ปรากฏบุคคลชั้นนำในพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในขบวนการนั้น จากการสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เป็นแกนนำสำคัญในการล่ารายชื่อ ได้ยืนยันว่าชื่อบุคคลที่ถูกทาบทามให้ร่วมลงรายชื่อนั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีนักการเมือง ยกเว้นนายไขแสง สุกใส ที่ร่วมเรียกร้องกับนักศึกษา ดังนั้น การไม่มีชื่อเข้าร่วมไม่ได้หมายความว่าไม่ร่วมเรียกร้องทางการเมือง ส่วนกรณีที่ไม่ร่วมเรียกร้องกับคณะ รสช.นั้น ต้องถือว่าการต่อสู้ในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการต่อสู้โดยแท้จริงของประชาชน ดังนั้น พรรคไทยรักไทยอย่าแอบอ้างว่าเป็นความสำเร็จของพรรคการเมืองใดหรือของใครโดยเฉพาะ

3.ข้อกล่าวหาว่าเมื่อปี 2523 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลไม่เดินหน้าปฏิรูปการเมือง กระทั่งสมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา จึงมีการขับเคลื่อนเป็นผลสำเร็จ ข้อเท็จจริงสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาล มีนายมารุต บุนนาค เป็นประธานรัฐสภา ซึ่งถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในการวางรากฐาน ผลักดันการปฏิรูปการเมืองจนสำเร็จในรัฐบาลนายบรรหาร 4.กรณีกล่าวหาว่ารัฐบาลชวน 2 ดึงพรรคประชากรไทยเข้ามาร่วม ทำให้ผิดทำนองคลองธรรมของระบอบประชาธิปไตยนั้น ยืนยันว่าการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลชวน 2 ไม่ได้ทำลายพรรคการเมืองใด และพรรคประชากรไทยยังคงอยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่สมาชิกบางส่วนไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคขณะนั้น จึงอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นรัฐบาลเพื่อเข้ามาแก้ไขวิกฤติของประเทศในขณะนั้น

5.กรณีที่ระบุว่ารัฐบาลชวน 2 ได้สร้างวิกฤติเศรษฐกิจ สั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทนั้น เรื่องนี้พรรคไทยรักไทยกำลังหลอกคนในพรรคตัวเอง เพราะเหตุการณ์จริงมีการสั่งปิดสถาบันการเงิน 58 แห่ง โดยนายทนง พิทยะ รมว.คลังในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทำให้เกิดวิกฤติเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท และยังซ้ำเติมวิกฤติด้วยการลดค่าเงินบาท โดยมีบางคนในรัฐบาลนี้ที่ได้ประโยชน์ นี่จึงเป็นต้นตอของวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น พรรคไทยรักไทยถ้าอยากจะพูดความจริงต้องพูดให้หมด รวมถึงเรื่อง ปรส. ถ้าพรรคไทยรักไทยอยากรู้ข้อมูลให้มาขอได้ เพราะได้รวบรวมเอกสารไว้ทั้งหมด

6.ข้อกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคขาวสะอาดคนเดียว โดยหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่อง ส.ป.ก.4-01 นั้น พรรคประชาธิปัตย์นอกจากชูนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคแล้ว ยังมีนโยบายปราบทุจริตคอรัปชั่นที่จะให้ ส.ส.ทุกพรรคต้องแจ้งทรัพย์สิน หนี้สิน รวมทั้งครอบครัวเครือญาติด้วย เพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพรรคการเมืองต้องขาวสะอาด ไม่ใช่หัวหน้าพรรคคนเดียว และการหยิบยกเรื่อง ส.ป.ก.4-01 ขึ้นมานั้น ตนยืนยันว่าถ้ามีปัญหาทำไมรัฐบาลชุดนี้ไม่ยกเลิก แต่ยังกลับแจก ส.ป.ก.4-01 ในการทัวร์นกขมิ้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เป็นปัญหา แต่เป็นประเด็นการทำลายล้างทางการเมืองมากกว่า

นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะทุ่มงบแก้จนอำเภอละ 250 ล้านบาท จะไม่มีทางบรรลุผล ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือจังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ได้รับงบประมาณลงพื้นที่ตั้งแต่ปี 2544-2549 กว่าแสนล้านบาท หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี หรืออำเภอละ 833 ล้านบาทต่อปี แต่ปรากฏว่าเชียงใหม่ยังคงมีคนจนและคนที่เสี่ยงต่อความยากจนจำนวนมาก โดยในปี 2544 มีสัดส่วนคนจนร้อยละ 5.61, ปี 2545 สัดส่วนคนจนเพิ่มเป็นร้อยละ 7.4 และปี 2546 คนจนเพิ่มขึ้นสูงร้อยละ 18.59 ของประชากรในจังหวัดเชียงใหม่

"รักษาการนายกฯ คิดแต่ว่าจะให้เงิน ไม่คิดถึงกลไกการใช้และการตรวจสอบการใช้เงิน ไม่ดูว่าที่ผ่านมาล้มเหลวอย่างไร แนวคิดที่ไม่ครบถ้วนเช่นนี้จึงไม่ต่างจากการซื้อเสียงโดยสัญญาว่าจะให้" นายเกรียงศักดิ์ระบุ

ที่พรรคชาติไทย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาวิจารณ์นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ว่านโยบายเพิ่มสิทธิสตรีนั้น ไม่ทราบว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะทำอะไรอีก ในเมื่อรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ชัดเจนว่าให้ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน หรือนโยบายการขึ้นค่าแรง ต้องขึ้นกับคณะกรรมการไตรภาคีที่จะตกลงกันระหว่างรัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง ถ้านายจ้างไม่เอาแล้วไปปลดลูกจ้างแทน ก็จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้ ไม่ใช่นึกจะพูดก็พูด หรือเรื่องการแก้ไขกฎหมายนักการเมืองทุจริตไม่ต้องมีอายุความ ตนก็ชอบใจ แต่อยากให้เน้นถึงนักการเมืองท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะเรื่องการฮั้วประมูลรถดับเพลิง ที่ทำเป็นเงียบๆ ติ๋มๆ แต่วันนี้ยังไม่มีใครติดคุกเลย

"อย่างพรรคประชาธิปัตย์ เลือกตั้งสมัยหน้าขอให้หิมะตกเมืองไทยเสียก่อนถึงจะได้เป็นรัฐบาล เพราะถ้ายกให้ทั้ง กทม.บวกภาคใต้ทั้งภาครวมกันแล้วก็ได้ ส.ส.ไม่ถึง 150 ที่นั่ง ส่วนพรรคชาติไทยก็ได้ 20-25 เท่าเดิม แต่ถ้าจะเอาให้ได้ก็ต้องให้คนเอาปืนไปจี้ พ.ต.ท.ทักษิณให้เว้นวรรคทางการเมือง จะทำให้ ส.ส.พรรคไทยรักไทยสอบตกไปถึงครึ่งสภาฯ แต่อย่าฝันเฟื่องไปเลย เพราะถึงอย่างไรต่อให้คนเอาปืนไปจี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ออก โดยเฉพาะช่วงนี้ที่โดนจนน่วมแล้วบอกว่าคน กทม.ถูกหลอก ผมก็ไม่รู้ว่านายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ถูกหลอกใช้มาหรือเปล่า" นายชูวิทย์กล่าว

นายชูวิทย์กล่าวว่า ในการประชุมพรรคชาติไทยวันที่ 14 ส.ค. ศกนี้ ตนจะนำเสนอแคมเปญการหาเสียงของ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ โดยจะเน้นที่ กทม.แคมเปญ "ต่อยอดตัดท้าย" หมายถึง พรรคชาติไทยยินดีต่อยอดนโยบายที่ดีของรัฐบาลชุดนี้ แต่จะตัดท้ายนโยบายเฮงซวยคอรัปชั่น นอกจากนี้จะขึ้นป้าย "รู้นะ..คุณทำอะไรอยู่" ซึ่งจะชี้ให้ประชาชนรู้เท่าทันนักการเมืองว่ามีการโกงกันอย่างไรให้เห็นถึงกระดูก "ขอตั้งฉายาพรรคประชาราช ว่าเป็นพรรค 3 เขี้ยว โดยเขี้ยวที่ 1 คือนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เขี้ยวที่ 2 คือนายเสนาะ เทียนทอง และเขี้ยวที่ 3 คือนายประมวล รุจนเสรี ทั้ง 3 เขี้ยวนี้เดินไปไหนแม้แต่พรมยังขาดเป็นท่อนๆ เลย" นายชูวิทย์แว้งมายังพรรคประชาราช

ขณะที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวว่า พรรคจะชูนโยบายหาเสียงในเรื่องการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำที่จะกระจายอย่างทั่วถึงทุกจุดทั่วประเทศ จะขยายห้วย หนอง คลอง บึง เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ หรือทำเป็นแก้มลิง เพราะถ้ามีน้ำทุกคนก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างอบอุ่น จะได้กลับจากเมืองหลวงไปอยู่กับครอบครัวที่ชนบท

นายเสนาะกล่าวว่า พรรคจะไปเปิดหูเปิดตาพี่น้องประชาชนรากหญ้าที่ถูกครอบงำอยู่ จะทำให้เขารู้ว่าเหตุใดจึงเกิดวิกฤติอย่างใหญ่หลวง ทั้งๆ ที่ไม่มีสงครามอะไรเลย โดยจะตระเวนปราศรัยทุกจุดทั่วประเทศ รวมทั้งทำซีดีออกมาด้วย เชื่อว่าวันนี้ประชาชนหูตาสว่างกัน 70-80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ดังนั้นต่อไปไม่ว่าใครก็ครอบงำเขาลำบาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณอ้างคน กทม.ถูกบิดเบือนข้อมูล นายเสนาะกล่าวว่า มันถูกบิดเบือนไปหมด ตนไปคุยกับคนในกระทรวงกลาโหม เขาบอกว่าวันเสาร์อยากจะฟังโน่นฟังนี่ แต่ดันมีรายการผีนรกโกหกประชาชน ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกเสียที ส่วนตัวก็อยากให้เลิกได้แล้ว เอารัดเอาเปรียบเขามามาก พูดไปก็มีแต่คนด่ามากกว่าคนฟัง

นายเสนาะยังเชื่อว่า การเลือกตั้งจะไม่ทันวันที่ 15 ตุลาคม ศกนี้ ตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด เพราะแม้มี กกต.ชุดใหม่ 5 คน แต่จะต้องสะสางปัญหาใน กกต.อีกมาก จึงจะสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรม ตนเห็นว่าหากเลื่อนไปเลือกตั้งวันที่ 10 ธันวาคม จะเหมาะสมที่สุด

นายประมวล รุจนเสรี รองหัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุยว่าจะใช้เงิน 2 แสนล้านบาทแก้ปัญหาความยากจนทั่วประเทศ วันนี้รัฐบาลไม่มีเงินแล้ว อย่าว่าแต่ 2 แสนล้านบาทเลย แค่ 3,000 ล้านบาทยังไม่มี ที่ชัดเจนคือการซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย ที่รัฐไปบีบธนาคารออมสินไปซื้อหุ้น อสมท เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นของธนาคารทหารไทย 3,000 ล้านบาท วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมาทำให้รัฐบาลเป็นพ่อค้า และกำลังจะทำให้ธนาคารออมสินที่เป็นเงินออมของเด็กๆ เสี่ยงต่อการขาดทุน.

อิสรภาพแห่งความคิด

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
1852 ถนนเกษมราษฎร์ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทร 240 2612 แฟกซ์ 2490295 และ 2490299

Copyright (c) 1999 Thai Journal Group.
All rights reserved. Reproduction in whole or in part in any form or medium without express written permission of Thai Journal Group is prohibited. ThaiPost and the ThaiPost logo are trademarks of Thai Journal Group. (Power and Designed by Thaicast Team, KSC Commercial Internet Co.,Ltd.)

Power by Internet KSC