เวทีทัศนะ
:
เศรษฐีเมืองนอกใจบุญมากกว่าเศรษฐีไทยหรือไม่? |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ |
13 กรกฎาคม
2549 15:02 น. | |
|
เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ จากข่าวการประกาศของวอร์เรน
บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกวัย 75 ปี
ที่มีแผนจะบริจาคเงินร้อยละ 85 จากที่มีอยู่ทั้งหมด 44,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่องค์กรการกุศล
ซึ่งเงินบริจาคส่วนใหญ่จะตกไปเป็นของมูลนิธิบิลและเมลินดา
เกตส์ (Bill & Melinda Gates Foundation)
มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ที่เป็นเพื่อนสนิทของบัฟเฟตต์
เพื่อใช้ในการสนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์และการให้ทุนการศึกษา ข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด
เพราะเราคงจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่ามหาเศรษฐีหลายคนในต่างประเทศที่บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแก่องค์กรการกุศล
แต่เมื่อหันมาเปรียบเทียบกับเศรษฐีของเมืองไทย
เราอาจจะเกิดคำถามขึ้นว่า "เศรษฐีเมืองนอกใจบุญกว่าเศรษฐีไทยหรือ?" ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความใจบุญของมหาเศรษฐีต่างประเทศ
หรือความรวยเหลือเฟือจนสามารถบริจาคได้เป็นจำนวนมากโดยไม่นึกเสียดาย
แต่เป็นเพราะมาตรการทางภาษีที่เป็นกลไกในการบังคับและจูงใจให้เศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล มาตรการทางภาษีที่กล่าวถึงในที่นี้คือ
"ภาษีมรดก" ซึ่งภาษีมรดกในสหรัฐอเมริกาเป็นภาษีกองมรดก
(estate tax) และภาษีการรับมรดก (inheritance tax)
ที่มีการจัดเก็บทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละมลรัฐ ภาษีมรดกในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดก
ที่จัดเก็บจากการโอนทรัพย์สินที่เก็บภาษีได้ (taxable
estate)
จากผู้ตายซึ่งเป็นพลเมืองหรือผู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาไปยังทายาทผู้รับมรดก
โดยอัตราการจัดเก็บภาษีนั้นจะคำนวณจากผลประโยชน์ของทรัพย์สิน
ณ เวลาที่เจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตลง ทั้งนี้ในปี 2549
กองมรดกที่ต้องเสียภาษีจะต้องมีมูลค่าสูงกว่า 2
ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการจัดเก็บภาษีสูงสุดที่ร้อยละ
46 ของมูลค่าผลประโยชน์ของทรัพย์สินทั้งหมด ณ
เวลาที่เสียชีวิตลง ภาษีมรดกในระดับมลรัฐของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดกและ/หรือภาษีการรับมรดก
โดยบางรัฐใช้มาตรการภาษีกองมรดกเช่นเดียวกับรัฐบาลกลาง
กล่าวคือหากรัฐบาลกลางมีเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีอย่างไร
รัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เงื่อนไขดังกล่าวด้วย
ขณะที่บางรัฐใช้กฎหมายภาษีกองมรดกที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง
ส่วนภาษีการรับมรดกเป็นการอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีกองมรดกโดยจัดเก็บจากผู้รับมรดก อย่างไรก็ตาม
ทรัพย์สินบางประเภทจะได้รับข้อยกเว้นโดยไม่ถูกนำมาคำนวณอัตราภาษี
ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ
สิทธิเรียกร้องจากทรัพย์สิน
สินสมรสที่ถือครองโดยคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่
และประการสำคัญคือทรัพย์สินที่บริจาคให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ข้อยกเว้นดังกล่าวนับเป็นเงื่อนไขที่จูงใจแกมบังคับให้มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิต่าง
ๆ
เนื่องจากมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะเสียทรัพย์สินจำนวนมาก
(เกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมด)
ที่ตนหามาได้จากการทำงานมาตลอดชีวิตในรูปของภาษีทั้งหมด เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเศรษฐีเหล่านี้ได้จ่ายภาษีในอัตราสูงมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว
และอาจคิดว่าไม่สามารถควบคุมได้ว่ารัฐบาลจะนำเงินภาษีไปทำอะไรและเป็นการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพหรือไม่
แต่หากนำเงินไปบริจาคให้แก่มูลนิธิที่ตนเองเห็นว่าทำประโยชน์จริง
ๆ
น่าจะเป็นการใช้เงินจ่ายที่ตรงความต้องการมากกว่า แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่าคือ
เงินบริจาคส่วนใหญ่มักจะมอบให้แก่องค์กรการกุศลที่ผู้บริจาคสามารถควบคุมได้
หรือเป็นมูลนิธิที่ทำกิจกรรมการกุศลที่สร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กรธุรกิจที่ผู้บริจาคเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน
เงินบริจาคดังกล่าวจึงเป็นเสมือนเงินลงทุนในการประชาสัมพันธ์องค์กรธุรกิจ
ซึ่งผู้บริจาคจะได้ประโยชน์มากกว่านำไปเสียภาษีมรดก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในยุคที่สังคมเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
(Corporate Social Responsibility: CSR)
งบประมาณสำหรับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับองค์กรธุรกิจสมัยใหม่
ภาษีมรดกจึงเป็นมาตรการที่บังคับทางอ้อมให้องค์กรธุรกิจจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วย แม้ว่าผู้ที่คัดค้านภาษีมรดกมักจะอ้างว่า
ภาษีมรดกจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ
แต่ภาษีมรดกที่จัดเก็บในอัตราที่เหมาะสมและมีเงื่อนไขการจัดเก็บที่เหมาะสม
อาจจะช่วยให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (win-win
situation) กล่าวคือรัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้นบ้าง
สังคมได้รับการช่วยเหลือ
และธุรกิจได้ประโยชน์จากการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร มหาเศรษฐีเมืองนอกจึงไม่ได้ใจบุญมากกว่ามหาเศรษฐีเมืองไทย
เพียงแต่โครงสร้างภาษีในต่างประเทศจูงใจให้เศรษฐีฝรั่งต้องบริจาคเงิน
ขณะที่โครงสร้างภาษีในประเทศไทยยังขาดความเป็นธรรม
ทำให้เศรษฐีเมืองไทยส่วนใหญ่ดูเหมือนตระหนี่ถี่เหนียว
| |
|
|
|
|