ประชาธิปัตย์ อัด “เรียลิตี้” สร้างแบบอย่างที่ผิด - ล้มเหลวทุกด้าน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2549 18:41 น.
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์
              เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์” แจงสถิติเรียลิตี้แก้จน แจกเงิน-แจกของ มากกว่าแจกปัญญา ชี้ “อาจสามารถโมเดล” สอนให้คนแบมือขอ เห็นเงินเป็นพระเจ้า ซ้ำยังทำลายค่านิยมพึ่งตนเอง ระบุข้าราชการยึดแบบอย่างปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังเหมือนนายกฯ เชื่อเป็นเพียงการหาเสียงในช่วงขาลง ขณะที่ โฆษก ปชป.จวก สร้างหลักการแนวคิดที่ผิด ล้มเหลวทุกด้าน
       
       วันนี้ (22 .ม.ค.) นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงรายการเรียลิตี้โชว์การแก้ปัญหาความยากจนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 5 วัน ว่า แม้นายกฯจะอ้างว่าเป็นการสอนการแก้ปัญหาความยากจนระยะยาว แต่แท้จริงตนมองว่าเป็นการสอนให้คนเห็นเงินเป็นพระเจ้า เน้นการสอนให้ประชาชนแบบมือขอ ให้พึ่งรัฐมากกว่าพึ่งตนเอง จากการเก็บสถิติในรายการเรียลิตี้โชว์ พบว่า นายกฯให้คำปรึกษาชาวบ้านและตัวแทนชาวบ้าน ทั้งแบบทางการ และไม่เป็นทางการรวม 93 คน แยกได้ 11 หมวด 217 กิจกรรม แต่กิจกรรมส่งเสริมการพึ่งตนเองและชุมชน เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แนะนำอาชีพ มีเพียง 52 กิจกรรม คิดเป็น 36% ของกิจกรรมทั้งหมด ส่วนการสิ่งที่นายกฯให้ประชาชนพึ่งพารัฐ อาทิ การพักหนี้ การพึ่งโครงการรัฐบาล มีถึง 131 กิจกรรม คิดเป็น 61.7% ของกิจกรรมทั้งหมด
       
       “ทั้งที่หลักการแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนควรช่วยให้ประชาชนช่วยตนเองได้ เหมือนคำที่ว่า จับปลาให้เขากิน 1 ตัว เขาจะอิ่ม 1 วัน แต่หากสอนให้เขาจับปลาได้ เขาจะอิ่มไปตลอดชีวิต แต่การลงพื้นที่ของนายกฯเน้นการแจก เพื่อให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจเป็นหลัก ไม่มีมิติของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสะท้อนปัญหา ผู้ที่มารายงานปัญหาของชาวบ้านคือ นายอำเภอ สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ได้มีความจริงใจ เพราะหากจะให้นายอำเภอรายงาน นายกฯสามารถเรียกมารายงานที่ส่วนกลางก็ได้ แต่นี่เป็นเพียงรูปแบบการหาเสียงในช่วงขาลง อำเภออาจสามารถ มีสัดส่วนคนยากจนเพียง 8% ส่วนจังหวัดอื่นๆ เช่น ปัตตานี มีสัดส่วนคนยากจน 23% นราธิวาส 18%” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
       
       ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของข้าราชการนั้น นายกฯได้สอน ว่า เงินสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง จากสถิติ ทั้ง 5 วัน วิธีการกว่าครึ่ง คือ การแจกเงิน แจกของ เช่น แจกเอกสารสิทธิที่ดิน แจกโค ให้เงินกู้ โดยคิดเป็น 40% ของกิจกรรมทั้งหมด ในขณะที่ส่วนของการแจกปัญญา เช่น ให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม มีเพียง 20.3% ตัวเลขนี้สะท้อนว่าเป็นการแก้ปัญหาอย่างฉาบฉวย ใช้เงินแก้ปัญหาเพื่อต้องการเพียงให้เห็นผลเฉพาะหน้า ให้ประชาชนเห็นว่า เมื่อนายกฯ ลงไป ชาวบ้านจะมีที่ดิน มีเงินใช้ แต่ไม่มีความยั่งยืน ในทางตรงข้ามหากพัฒนาโดยการให้ทุนมนุษย์จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่า ทั้งนี้ ข้าราชการไม่สามารถทำตามแบบอย่างที่นายกฯได้สอนไว้ได้ เพราะข้าราชการไม่มีเจ้าหน้าที่ รัฐมนตรี มีกำลังเหมือนกับนายกฯ
       
       “อาจสามารถโมเดลจึงเป็นตัวทำลายค่านิยมการยืนบนขาของตนเอง ขัดขวางความคิดของประชาชน ไม่ได้สอนให้คนมีทักษะ เข้ากรอบเศรษฐกิจประชานิยม ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ต่อให้นายกฯทักษิณ ลงพื้นที่ทั้ง 800 กว่าอำเภอทั่วประเทศ ก็ต้องใช้เวลา 10 กว่าปี การใช้เงินแจกเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ไม่มีทางที่จะมีเงินพอแจก สิ่งที่ต้องทำ คือ ทำให้คนมีศักยภาพสูง หรือใช้ทฤษฎีทริคเคิล ดาวน์ เอฟเฟกต์ คือ การสาดจากบนลงล่าง คนระดับบนโตจนสาดมาถึงระดับล่าง เศรษฐกิจต้องเติบโต 8% ต่อเนื่องหลายๆ ปี ส่วนการจนดักดาน ซึ่งเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์นั้น ต้องมีวิธีการเจาะจง ในโลกนี้ไม่มีประเทศไหนที่ไม่มีคนจนแม้แต่คนเดียว แม้แต่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ก็ยังมีคนจน” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
       
       ส่วน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาตามอาจสามารถโมเดลคงไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะรัฐบาลไม่มีความจริงใจ เนื่องจากไม่มีการปรากฏกายของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน (ศตจ.) ในรายการเรียลิตี้ด้วย นอกจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังให้สัมภาษณ์กลับหัว ตรงข้ามกับแนวทางนายกฯที่จะแก้ปัญหาด้วยการมอบให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำ แต่แนวทางของ พล.อ.ชวลิต จะให้ประชาชนทำเอง อย่างไรก็ตาม รายการนี้ถือว่าสำเร็จ 3 ด้าน คือ 1. นายกฯทักษิณได้เป็นผู้แสดงนำ ประชาชน และเจ้าหน้าที่เป็นตัวประกอบคับคั่งสมใจนายกฯ 2. บรรลุ สอดคล้องนิสัยนายกฯเอง ที่ได้แจกเงิน ได้พูดคนเดียว และถากถาง เบรกคนที่เห็นไม่สอดคล้องกับตน และ 3.ได้เล่นบทที่เคยชิน เช่น การทำกับข้าว ขี่มอเตอร์ไซค์ พายเรือ นั่งรถอีแต๋น และแจกเงิน
       
       นายองอาจ ยังกล่าวว่า ส่วนความล้มเหลวก็มี 3 ด้านเช่นกัน คือ 1. นายกฯมุ่งที่จะเสกเป่าปัญหาต่างๆ พยายามทำตัวเป็นหมอวินิจฉัยโรคแล้วจ่ายยา ซึ่งคงใช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้พิจารณาทั้งโครงสร้าง ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม 5 วันที่ผ่านมา คือ การจัดหาส่วนที่ขาดแคลนอย่างทันทีทันใดเท่านั้น 2.นายกฯทักษิณ มองไม่เห็นมิติทางสังคม ตอนที่เยี่ยมเด็กในโรงเรียน เมื่อทราบว่า เด็กอยู่กับตายาย พ่อแม่ทำงานใน กทม.ก็ไม่ได้สอบถาม ไม่คำนึงถึงปัญหานี้ ได้แต่แจกชุดนักเรียน สงสัยเหลือเกินว่าอีก 2 ปี เมื่อชุดเก่า นายกฯจะกลับไปแจกแจกหรือไม่ และ 3.เป็นการประจานความล้มเหลวนโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลทักษิณ 1 และ 2 เช่น นโยบายพักหนี้ กองทุนหมู่บ้าน พบความจริงว่าล้วนแต่กู้เงิน เพิ่มหนี้ แล้วก่อให้เกิดความยากจนต่อเนื่อง จนต้องแจ้งนายกฯและคณะ ทั้งเรื่องปัญหาที่ทำกิน ทั้งที่สำรวจมานานแล้ว แต่มาสำเร็จเอาเมื่อวันที่นายกฯมานอนบ้าน
       
       “พรรคประชาธิปัตย์มีความวิตกกังวล 3 ด้าน คือ 1.สร้างวิธีการแก้จนแบบผิดๆ กลัวว่าจะนำไปใช้ที่อื่นด้วย 2.ค่านิยมที่นายกฯอ้างว่า มีความสุขกับการได้แจกเงิน คนอื่นไม่ได้มีความสุขไปด้วย สะท้อนความเสื่อมถอยของสังคมไทย นายกฯต้องคำนึงถึงความทุกข์ของสังคมไทยด้วย และ 3.สั่งการตัดหน้านายอำเภอหลายครั้ง ไม่ให้เกียรติข้าราชการ ผมคิดว่ารัฐบาลไทยรักไทยจะแก้ปัญหาได้หากกระจายอำนาจ ไม่หวงอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว