Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

บทความลงนิตยาสาร       

 
แม่และเด็ก

จัดการนิสัยให้มีแต่ “ดี” กับ “ดี”
 

ธันวาคม 2549

             
            
ความยากลำบากของพ่อแม่ในหลายครอบครัวที่มักจะบ่น ๆ กัน นั่นคือ เรื่องนิสัยที่ไม่ดีของลูก ซึ่งมีหลายเรื่องมากจนพ่อแม่บางรายบอกว่าถ้าจะให้เขียนออกมาว่าลูกของตนมีนิสัยไม่พึงปรารถนาในเรื่องอะไรบ้างคงจะมากกว่าหนึ่งหน้ากระดาษเป็นแน่

คำว่า เด็กสมัยนี้เลี้ยงยาก กลายเป็นคำบ่นของพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับลูกของตนอย่างไรเตือนหลายครั้งแล้วไม่ฟัง บอกให้ทำสิ่งที่ดีกว่าก็ไม่ยอม แถมลงโทษก็ยังไม่กลัว

หากใครอยู่ในสภาพเช่นนี้คงอึดอัดใจไม่น้อย เพราะเด็กสมัยนี้ยิ่งเมื่อเขาเติบโตขึ้น สภาพแวดล้อมรอบตัวจะยิ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของพวกเขา และมีส่วนสำคัญในการก่อร่างลักษณะนิสัยของลูกไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราต้องการให้อนาคตของลูกเติบโตเป็นคนดี ก้าวไปในทางที่เขาวาดฝันไว้ว่าอยากจะเป็น เราคงไม่สามารถปล่อยปละละเลยเรื่องนิสัยของเขา แต่จำเป็นต้องทำ 2 อย่าง คือ เปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดี และปลูกฝังนิสัยที่ดี

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำในการเปลี่ยนแปลงและปลูกฝังนิสัยของลูก ได้แก่

เริ่มจากการมีทัศนคติ นิสัยเปลี่ยนแปลงได้

เราอาจไม่มีความเชื่อว่า นิสัย ของเรานั้นจะเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากนิสัยนั้นเป็นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติจนเกิดความเคยชิน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และโดยธรรมชาติแล้ว คนเราส่วนใหญ่นั้นมักไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัย แม้หลายเรื่องที่ทำนั้นก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่แทนที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงกลับยอมรับว่า มันเป็นธรรมชาติชีวิตของเราไปเสียแล้ว” “แก้ไขไม่ได้หรอก ก็เราเป็นอย่างนี้มานานแล้วนี่

ในส่วนลูกของเราก็เช่นกัน เมื่อเราบอกให้เขาเลิกทำพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดี เช่น ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวระหว่างที่อ่านหนังสือไปด้วย เราเห็นว่านอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจทำให้ลูกเป็นเด็กอ้วนและมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ แต่เมื่อเราห้ามไม่ให้กิน โดยบอกเหตุให้เข้าใจ แต่ลูกกลับแอบกินอยู่เสมอ เมื่อเราเตือน เขากลับบอกว่า หนูก็เป็นของหนูอย่างนี้มานานแล้ว หนูเปลี่ยนไม่ได้หรอก จนเมื่อลูกพูดเช่นนี้บ่อย ๆ อาจทำให้เราคิดไปเช่นกันว่า สงสัยคงจะเปลี่ยนไม่ได้เสียแล้ว

แท้จริงแล้ว แม้ว่า นิสัยจะเป็นสิ่งที่เราชอบทำเป็นประจำ จนกลายเป็นความเคยชิน หรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่นิสัยก็ไม่ใช่ธรรมชาติชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นเนื่องจากนิสัยเกิดจากการเรียนรู้ และการกระทำซ้ำ นักจิตวิทยาการเรียนรู้ บีเอฟ.สกินเนอร์ กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้นั้นเป็นเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลที่ได้จากการฝึกฝน (Learning as a stable change in behavior that comes as a result of practice.) แนวคิดนี้นับเป็นกุญแจในการยืนยันว่านิสัยของเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้

ดังนั้น พ่อแม่จึงควรมีทัศนคติเริ่มต้นว่า นิสัยนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เราสามารถควบคุมนิสัยของเราได้ ไม่เพียงเท่านั้น เรายังสามารถเพิ่มเติมนิสัยใหม่ ๆ ได้ด้วย โดยเลือกที่จะฝึกฝนและสร้างนิสัยดี ๆ และฝึกที่จะกำจัดทิ้งนิสัยที่ไม่ดีออกไป

มี อนาคตของลูก เป็นศูนย์กลาง

พ่อแม่ย่อมเป็นคนที่รู้จักลูกดีที่สุด ย่อมรู้ว่านิสัยของลูกเป็นอย่างไร นิสัยอะไรบ้างที่ควรได้รับการเปลี่ยนแปลง นิสัยอะไรบ้างที่ลูกไม่มี และคิดว่าควรจะสร้างนิสัยนั้นเข้าไปเป็นนิสัยของลูก

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ไม่ควรใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินว่า ลูกควรเป็นอย่างไร ตามความคิดและความต้องการของตน ไม่ควรใช้เหตุผลว่า ลูกไม่ควรทำเช่นนี้เพราะแม่ไม่ชอบ แต่ต้องคิดด้วยความรักและความเข้าใจในตัวลูก โดยยึดในอนาคตของเขาเป็นที่ตั้ง และคิดให้ครอบคลุมว่า ลูกควรมีนิสัยเช่นไรจึงประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียนและการดำเนินชีวิต

พ่อแม่ควรตระหนักว่า ความสำเร็จในการเรียนและในการดำเนินชีวิตของลูก ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ปลูกฝังลักษณะชีวิต ลักษณะนิสัยใดบ้างในตัวลูก นิสัยที่มีอยู่นั้นมีศักยภาพในการสนับสนุนความสำเร็จของเขามากน้อยเพียงใด

สำรวจนิสัยลูกให้ครบถ้วน

ในการแก้ไขและปลูกฝังนิสัยลูก พ่อแม่ต้องสำรวจลูกให้ครบถ้วน ไม่เพียงคิดเพียงนิสัยบางมุมบางด้าน แต่ต้องให้ครอบคลุมทั้ง นิสัยการคิด โดยสังเกตดูว่า เวลาลูกคิดและตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นอย่างไร เช่น มักคิดอะไรไม่รอบคอบ ไม่มองการณ์ไกล เป็นต้น นิสัยการคิดนั้นสำคัญเพราะการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมที่จะตามมา ถ้าลูกสามารถคิดได้อย่างเป็นระบบ คิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างมีเป้าหมาย คิดอย่างมีเหตุมีผล คิดอย่างมีหลักการ และคิดอย่างมีคุณธรรมในเรื่องต่าง ๆ นิสัยการคิดเชิงบวกเหล่านี้จะเอื้อต่อการตัดสินใจและการประพฤติที่จะตามมาของเขา ส่งผลให้เขาเป็นเด็กที่เติบโตไปในแนวทางที่ดีตามที่เขาปรารถนาไว้ได้ การแก้ไขที่ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญ

นอกจากนิสัยการคิดแล้ว ควรสำรวจนิสัยการกระทำ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกจนกลายเป็นความเคยชินในเรื่องต่าง ๆ  เช่น การไม่มีวินัย การไม่เคารพเวลา การชอบผัดวันประกันพรุ่ง และนิสัยที่ดีที่ลูกยังขาดอยู่และควรเพิ่มเติมในตัวลูก เช่น การพัฒนาการอ่านเร็วขึ้น เป็นต้น

ให้ลูกเป็นเจ้าของเรื่อง - ปลุกเร้าความตั้งใจ

เราต้องให้ลูกรู้ว่า ตัวเขาเองเป็นคนสร้างนิสัยนั้นขึ้นมา และถ้าเราปล่อยให้นิสัยเราเป็นเช่นนั้น มันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตเราอย่างแน่นอน ถ้านิสัยนั้นดี เหมาะสม ย่อมส่งผลดีต่อชีวิต ในทางตรงข้ามถ้านิสัยนั้นไม่ดี ไม่เหมาะสม ย่อมส่งผลเสียต่อชีวิตอนาคตของเราได้ ดังนั้น ถ้าลูกโตพอที่เราจะสามารถพูดคุยใช้เหตุผลกับเขาได้ ให้เราสื่อสารกับเขาด้วยความรัก

ในการเปลี่ยนแปลงนิสัย ให้พูดคุยว่าพฤติกรรมที่เขาเป็นอยู่นั้นจะส่งผลเสียต่อเขาอย่างไรบ้าง เมื่อลูกยอมรับและเห็นด้วยว่ามีผลเสียต่ออนาคต และยินดีที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มเปิดใจออกให้พ่อแม่เข้ามาช่วยเหลือ และพยายามควบคุมตัวเองและสร้างนิสัยใหม่ให้กับตัวเอง

ในการปลูกฝังนิสัย เราควรให้ลูกสร้างนิสัยใหม่ด้วยความเต็มใจ โดยให้ลูกสื่อสารความต้องการว่าอยากมีนิสัยใหม่อะไรบ้าง ให้ลูกลองจินตนาการดู ถ้าลูกมีนิสัยเช่นนี้....จะดีเพียงใด...ลูกจะเป็นอย่างไร ให้เกิดความรู้สึกว่านิสัยนั้นดี อยากจะเป็นเช่นนั้น  ให้ลูกลองคิดว่านิสัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งในตัวของลูกแล้ว และคิดว่านิสัยเก่าที่ไม่ดีไม่ได้อยู่ในตัวลูกแล้ว ลูกมีความสุขเพียงใด

ไม่มีสิ่งใดมีพลังมากกว่าความตั้งใจ สิ่งยิ่งใหญ่อันเกิดจากฝีมือมนุษย์ เริ่มต้นจากความคิดอันชาญฉลาดเป็นก้าวแรก ก้าวที่สองคือความตั้งใจอยากทำให้เป็นจริง และ ก้าวที่สาม คือ การลงมือทำจริง

การเปลี่ยนแปลงนิสัยเดิมด้วยการสร้างนิสัยใหม่ก็เช่นเดียวกัน ลูกต้องมีความคิดตระหนักรู้ว่านิสัยเก่านั้นไม่ดี ควรเปลี่ยนสู่นิสัยที่ดีกว่า และตามด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง และตามด้วยขั้นต่อไปคือการลงมือเปลี่ยนแปลง

เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทีละเรื่อง

เมื่อลูกเห็นความสำคัญและอยากมีนิสัยดี ๆ ให้เราสนับสนุนและช่วยเหลือลูกให้สร้างนิสัยนั้น โดยการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง  และให้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทีละเรื่อง อย่าทำหลายเรื่องไปพร้อม ๆ กันเพราะจะทำให้เกิดความเครียด เราต้องเข้าใจว่านิสัยแต่ละอย่างนั้นเป็นพฤติกรรมที่เราปฏิบัติจนเกิดความเคยชิน การละทิ้งหรือเลิกไปทันทีนั้นเป็นเรื่องยาก อาจเกิดความเครียด ความอึดอัด และตามมาด้วยความท้อถอยไม่อยากเปลี่ยนแปลงต่อไป

การเลือกเพียงหนึ่งนิสัยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือต้องการปลูกฝังเป็นนิสัยใหม่ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และความตั้งใจจริงที่จะฝึกฝน จดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว เมื่อทำสำเร็จจะเกิดกำลังใจในการแก้ไขนิสัยเก่าและปลูกฝังนิสัยใหม่ ๆ ต่อไป เด็กจะเห็นว่าถ้าเขาเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยหนึ่งได้ เขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน

ดังนั้น ในวันนี้แม้ว่าเราจะเห็นว่า มีนิสัยหลายอย่างในตัวลูกที่ควรเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ควรเริ่มต้นทีละเรื่อง ในขนาดที่ลูกยอมรับและให้ความร่วมมือได้ และอาจเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงเรื่องเล็ก ๆ ก่อน เพื่อให้ลูกมีกำลังใจและเห็นว่าตนเองทำได้

ทำต่อเนื่อง ไม่ประนีประนอม

ปัญหาความล้มเหลวของการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือสร้างนิสัยใหม่ได้ เป็นเพราะว่า เรามักกระตือรือร้นในการทำพฤติกรรมใหม่ ๆ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่ อยู่ประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้น เราจะเริ่มรู้สึกว่า อยากกลับไปทำนิสัยเดิม ๆ อีก แต่เราควรตระหนักว่า ถ้าเริ่มประนีประนอม ไม่นานจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก เช่นเดียวกับคนที่เลิกบุหรี่ วันแรก ๆ อาจทำได้สำเร็จ พอหลังจากนั้นจะเกิดความคิดว่า ขอสูบสักมวนคงไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อทำเช่นนี้ อีกไม่นานก็กลับไปติดเหมือนเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ลูกชอบอมทอฟฟี่ ตลอดเวลา เราสื่อสารจนลูกเข้าใจและให้ความร่วมมือว่าจะไม่ทำอีก ใน 2-3 วันแรกเขาสามารถทำได้ แต่ในวันที่ 3 เขาเริ่มเรียกร้องขออมสักเม็ดหนึ่งสิ่งที่เราควรตอบสนองคือ ไม่ให้ แต่ให้กำลังใจ หรือหาพฤติกกรมทดแทน เพื่อไม่ให้กลับไปคิดถึงพฤติกรรมเดิม ๆ อีก เช่น การให้ลูกอมวิตามินซีแทน เป็นต้น

ให้กำลังใจ อย่าซ้ำเติมเมื่อล้มเหลว

การเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องจดจ่อ ต้องตั้งใจ อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะกลายเป็นนิสัย การดูแลและให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดของพ่อแม่จึงเป็นเรื่องสำคัญ  พ่อแม่ต้องคอยเตือนให้ทำ คอยหนุนใจไม่ให้ท้อถอย และคอยควบคุมดูแลไม่ให้ลูกกลับไปมีพฤติกรรมเช่นเดิมอีก และให้กำลังใจจนกว่าให้ลูกสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ได้

การพัฒนานิสัยไม่มีความล้มเหลว แต่เป็นการเรียนรู้ว่าจะทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น แม้ลูกอาจล้มเหลว หรือไม่สามารถทำได้ พ่อแม่ไม่ควรตัดสินหรือต่อว่าว่าลูกไม่ดี ไม่มีความอดทน แต่ต้องให้กำลังใจลูกให้พยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ ให้ลูกยอมรับว่าความรู้สึกอึดอัดใจจะต้องเกิดขึ้นบ้าง แต่ให้ทำพฤติกรรมใหม่นั้นต่อไป แม้จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่นาน ๆ ไปจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของลูกเอง

 

สุภาษิตเกาหลีบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า นิสัยนั้นเริ่มต้นเมื่ออายุสามขวบ และจะเป็นเช่นนั้นไปจนอายุแปดสิบ” (A habit that started at three will continue until eighty.) เด็ก ๆ เป็นเหมือนไม้อ่อนที่ดัดได้ เราไม่ควรปล่อยให้เขาเติบโตตามธรรมชาติ แต่ควรดูแลให้เขาเติบโตเป็นต้นไม่ใหญ่ แข็งแรง สวยงาม และก่อประโยชน์ได้มากที่สุดเท่าที่ต้นไม้หนึ่งต้นจะสามารถทำได้


 

ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
กรรมการบริหารและรองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์


-------------------------------