ยุทธศาสตร์ฉะเชิงเทราสร้างชาติ : เมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการท่องเที่ยวด้านอาหารเชิงสุขสภาพ

         นับตั้งแต่ พ.ศ. 1500 จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นเส้นทางการค้าสำคัญของอาณาจักรขอมซึ่งเป็นมหาอำนาจโบราณในดินแดนแถบนี้ ก่อนที่สมัยอยุธยาจะกลายเป็นแหล่งผลิตและรวบรวมเสบียงรวมถึงกำลังพลในช่วงสงคราม กระทั่งวิวัฒนาการกลายเป็นเมืองหน้าด่านและศูนย์กลางอำนาจรัฐอีกแห่งในสมัยรัชกาลที่ 3 และปัจจุบันฉะเชิงเทราได้พัฒนาเป็นแหล่งผลิตไก่ไข่ ไก่เนื้อ สุกร ปลาน้ำจืด รวมถึงมะม่วงน้ำดอกไม้ ได้ในปริมาณและคุณภาพสูงติด 3 อันดับแรกของประเทศ ผลผลิตมีคุณภาพอยู่ในระดับที่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้
     หากพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจ ในปีพ.ศ.2563 ฉะเชิงเทราพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการเป็นสำคัญ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมฉะเชิงเทรา (Gross Provincial Product : GPP) มาจากภาคอุตสาหกรรมสูงถึงร้อยละ 69.7 รองลงมาคือภาคบริการร้อยละ 25.3 โดยทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการพึ่งพาธุรกิจที่เกี่ยวกับยานยนต์สูงมาก ยอดผลิตและจำหน่ายยานยนต์ รถพ่วง และรถกึ่งพ่วงสูงเกินครึ่งหนึ่ง คือ ร้อยละ 55 ของสินค้าอุตสาหกรรมจังหวัด และการค้าส่งและค้าปลีก ซ่อมยานยนต์ ฯ มีมูลค่าถึงร้อยละ 47 ของ GPP ในภาคบริการ โดยรองลงมาเป็นภาคการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้าที่ร้อยละ 13 ของภาคบริการ
     จากโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดข้างต้น ประกอบกับสถานการณ์โลกที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนกำลังจะถูกกระชากเปลี่ยน (disrupt) ด้วยยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) รวมถึงกระแสการรักสุขภาพของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งนักท่องเที่ยว ผมจึงเสนอยุทธศาสตร์ให้ฉะเชิงเทราเป็นเมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการท่องเที่ยวเชิงอาหารสุขสภาพ โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้
1. เมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
     ประเทศไทยผลิตยานยนต์ได้สูงติด 10 อันดับแรกของโลก เป็นอันดับ 5 เอเชีย และมีแนวโน้มผลิตได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีฉะเชิงเทราเป็นฐานการผลิตยานยนต์ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก โดยที่ปัจจุบันรัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นเรือธงตัวใหม่ ซึ่งแม้ EV จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปและผู้ประกอบการ EV ยังมีความกังวลต่อการหลั่งไหลของนักลงทุนจีน แต่รัฐมีทิศทางและนโยบายสนับสนุนความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาตลอดตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ทำให้ผู้ประกอบการ EV อุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง โดยล่าสุดโฆษกนายกฯ ได้กล่าวในงานมอเตอร์โชว์ ตั้งเป้าให้คนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้า (รวมทุกประเภท) เกิน 1.05 ล้านคัน ใน พ.ศ. 2568 และผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไม่น้อยกว่า 360,000 คัน ใน พ.ศ. 2570 ซึ่งการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม EV นั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่อไปนี้
         1) สร้างเมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV City)
     รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาฉะเชิงเทรา เป็น “เมืองอยู่อาศัยชั้นดี” ควรใช้โอกาสนี้ สร้างเมืองใหม่ต้นแบบ ที่เป็น “EV City” เช่น เป็นเมืองที่มีแต่ EV เท่านั้น ไม่มี รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยรถประจำทาง รถแท็กซี่ จักรยานยนต์ ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด มีสถานีสำหรับชาร์จไฟฟ้าอยู่ทั่วเมือง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม EV
          2) ส่งเสริมการลงทุนของผู้เล่นรายใหม่
     อุตสาหกรรมยานยนต์โลกมีผู้เล่นใหม่ โดยเฉพาะผู้นำทางเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ เช่น Tesla, BYD (China) จึงควรส่งเสริมผู้เล่นเหล่านี้ ลงทุนในคลัสเตอร์ยานยนต์อนาคตในฉะเชิงเทราเพื่อทำให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของ EV ในประเทศ กระตุ้นอุปสงค์ของ EV ในประเทศ เพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและยังสามารถดึงดูดบุคลากรด้าน EV และยานยนต์สมัยใหม่ จากต่างประเทศเพื่อมาพัฒนาบุคลากรด้าน EV ในประเทศได้อีกด้วย
          3) มุ่งเน้นอุปกรณ์อัตโนมัติมากขึ้น
     EV และยานยนต์อนาคตจะมีการใช้อะไหล่น้อยลง แต่มีสัดส่วนของอุปกรณ์อัตโนมัติที่ไม่ใช่อะไหล่รถยนต์ (non-automotive content) มากขึ้น โดยไทยต้องนำเข้าอุปกรณ์อัตโนมัติค่อนข้างสูง (มากกว่าร้อยละ 80) ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้ผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติต่าง ๆ ทดแทนการนำเข้ามากขึ้น เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ซอฟท์แวร์ควบคุมระบบในยานยนต์, ระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และระบบความบันเทิงในรถยนต์ เป็นต้น
          4) ให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าใหม่รวมไปถึงการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ (Diversification)
     ภาครัฐควรส่งเสริมให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ผลิตสินค้าใหม่ ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เปลี่ยนไปผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะประเภทอื่น เช่น เครื่องบิน หรือผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ในการเกษตร หรือในชนบท เพื่อทำให้เกิดการประหยัดจากขอบเขต (Economy of Scope) และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ
2. เมืองท่องเที่ยวด้านอาหารเชิงสุขสภาพ (Food Wellness Tourism)
     เนื่องจากฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่ผลิตอาหารอันดับต้น ๆ ของประเทศประกอบกับกระแสรักสุขภาพ ของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งนักท่องเที่ยว ผมจึงเสนอยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวด้านอาหารเชิงสุขสภาพ เป็นจุดแกร่งของฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับภาคการผลิตอาหาร โดยการพัฒนาลักษณะเฉพาะของอาหารเพื่อเป็นจุดขาย ดึงดูดการท่องเที่ยวตามกรอบ “Dr Dan Can Do's Food Wellness Model 4 G&G” ที่ผมเสนอเอาไว้

     1) Green & Germless Food: อาหารไร้/ปลอดสารพิษ และไร้/ปลอดเชื้อโรค
     แนวทางการส่งเสริมอาหารปลอดสารพิษและปลอดโรค เช่น การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การใช้วัตถุดิบอินทรีย์ (Organic) และ Non-GMO, ส่งเสริมเกษตรสีเขียว พัฒนาแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีในฟาร์ม, พัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) และ มาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตรายที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร (Hazard Analysis Critical Control Point: HACCP) ในอุตสาหกรรมอาหาร ตลอดจนพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ (From Farm To Table) โดยผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก กระบวนการผลิต การบรรจุหีบห่อ และมีการให้ตรารับรองอาหารปลอดภัย เป็นต้น
         2) Gratis & Geriatric Food: อาหารที่มีสารอาหารป้องกัน รักษาโรค เหมาะกับทุกกลุ่มและวัยชรา
     ผลการสำรวจผู้บริโภค 6,000 ราย (คนไทย 500 ราย) ในปีพ.ศ.2560 โดย Asia Pacific Balanced Nutrition พบว่า ราว 4 ใน 10 คน ต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแผนการโภชนาการที่ดีส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอุปสงค์ต่ออาหารในกลุ่มนี้อยู่
ดังนั้นภาครัฐอาจส่งเสริมการผลิตอาหารป้องกันและรักษาโรคได้โดยการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร เช่น การพัฒนาปรุงแต่งอาหารพื้นเมืองให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ การใช้สมุนไพรเป็นส่วนผสม การเชื่อมโยงการแพทย์แผนโบราณกับการรักษาด้วยสมุนไพรที่หลากหลาย, พัฒนาสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ การใช้โปรตีนทางเลือกที่ไม่ได้มาจากสัตว์ ที่ไม่มีไขมันเลว, พัฒนาสูตรอาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารเพื่อการป้องกันและรักษาโรคเฉพาะเจาะจง เชื่อมโยงอาหารกับพันธุกรรม DNA ของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อรักษาโรค รวมทั้งการให้ความรู้ในการรับประทานอาหารที่เหมาะกับแต่ละบุคคล เป็นต้น
         3) Gourmet & Gastronomic Food: อาหารเลิศและอาหารอร่อย
     ภาครัฐอาจส่งเสริมการผลิตอาหารในฉะเชิงเทราให้เป็นอาหารเลิศและอร่อยได้หลายแนวทาง เช่น การจัดประกวด หรือ แสดงพืชผลที่เป็นของดีประจำจังหวัด/อำเภอ, การจัดประกวด แสดง แข่งขัน การทำอาหาร เลิศรสของจังหวัด, การให้ตรารับรองแก่ร้านอาหาร, การพัฒนาวิธีการเพาะปลูก หรือทำปศุสัตว์ ที่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปลักษณ์สีสันความสวยงาม เป็นต้น
         4) Greed & Grab Food: อาหารราคาถูกคุ้มค่าและเข้าถึงง่าย
     การส่งเสริมการผลิตอาหารให้คุ้มราคาและเข้าถึงได้อาจทำได้โดยการพัฒนาผลิตภาพในการเพาะปลูกและทำปศุสัตว์ เช่น การทำฟาร์มขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องจักร (farm mechanization), การพัฒนาตลาดจำหน่ายอาหารขึ้นชื่อของจังหวัด, การพัฒนาพื้นที่จำหน่าย street food ที่มีคุณภาพ และราคาประหยัด, หรือการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายอาหาร ผ่าน modern Trade เป็นต้น
ผมมองว่าหากภาครัฐมีการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่อย่างที่เป็นมาในอดีต นอกจากชาวฉะเชิงเทราจะอยู่ดีกินดีและมีความสุขได้ยั่งยืนแล้ว ฉะเชิงเทราจะเป็นพื้นที่ที่สามารถสนับสนุนให้คนไทยในภาคตะวันออกและพื้นที่อื่นอยู่ดีกินดีขึ้นได้มากขึ้นดังเช่นอดีตที่เคยเป็นมาได้ครับ

     

แหล่งที่มา : Mix Magazine 29-06-2022 


ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI)
ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD)
kriengsak@kriengsak.com, www.drdancando.com
www.facebook.com/drdancando