เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ข้อถกเถียงในประเด็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ส.ส.)
เพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้
เรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบในเชิงหลักการ
ได้แก่
การเลือกตั้ง
ส.ส.
ว่าควรมีระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์
หรือ
เขตเดียวเบอร์เดียว
จึงสะท้อนความเท่าเทียมและการเป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศได้มากกว่ากัน
บทความนี้
ยกเว้นไม่กล่าวถึง
ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
โดยจะพิจารณาในขอบเขตของการเลือกตั้ง
ส.ส.
ในเขตพื้นที่เท่านั้น
มุมมองรัฐศาสตร์ในการเลือกผู้แทนฯ
การตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการเลือกตั้ง
ส.ส.
แบบใดนั้น
อยู่ที่การตอบคำถามว่า
เราต้องการให้ประชาชนทุกคน
มีสิทธิเท่าเทียมกัน
โดยเลือก
ส.ส.
จำนวนเท่ากัน?
หรือ
เราต้องการให้
ส.ส.
เป็นตัวแทนของกลุ่มคนในพื้นที่
ซึ่งแต่ละพื้นที่ย่อมมีขนาดแตกต่างกัน
จำนวนประชากรไม่เท่ากัน
แต่เลือกผู้แทนได้เท่ากัน?
แนวคิดประชาธิปไตยแบบปัจเจก
(individualist
democracy)
หากเรายึดแนวคิดนี้ที่ให้ความสำคัญกับประชาชน
1
คน
เท่ากับ
1
เสียงเท่าเทียมกัน
รูปแบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมตามแนวคิดนี้
จึงควรเป็นแบบ
เขตเดียวคนเดียว
โดยกำหนดให้แต่ละเขตมีสัดส่วนจำนวนประชากรที่เท่ากัน
และประชาชนมีสิทธิเลือกได้
1
คนเท่ากันทั่วประเทศ
แนวคิดประชาธิปไตยแบบตัวแทนกลุ่ม
(group
democracy)
ที่ให้ความสำคัญกับ
“กลุ่มคน”
โดยถือว่าแต่ละกลุ่มที่อาจมีจำนวนประชากรไม่เท่ากัน
แต่จะต้องมีตัวแทนเท่ากัน
รูปแบบการอาจกำหนดขอบเขตพื้นที่เป็นหลัก
เช่น
ขอบเขตจังหวัด
โดยแต่ละจังหวัดให้ประชาชนเลือกผู้แทนได้จำนวนเท่ากัน
ก่อนปี พ.ศ.2540
การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์
มีความลักลั่น
ระหว่างแนวคิดทั้งสองนี้
เพราะแม้ว่าจะยึดขอบเขตจังหวัดเป็นหลัก
แต่ขณะเดียวกัน
ในแต่ละเขตของจังหวัดนั้น
ได้กำหนดสัดส่วนผู้แทนต่อจำนวนประชากรด้วย
ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน
ด้วยเหตุนี้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี
พ.ศ.2540
สภาร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น
ได้พยายามค้นหารูปแบบการเลือกตั้งในฝันที่คาดว่าจะมีส่วนช่วยพัฒนาการเมืองไทยให้ดีขึ้น
จึงกำหนดให้เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลง
เพื่อให้
“คนดี”
สามารถชนะเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น
ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ดีที่สุดได้ง่ายกว่าระบบเขตใหญ่
ซึ่งมี ส.ส.หลายคน
เท่ากับยึดโยงตามแนวคิดประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับปัจเจก
สำหรับทัศนะส่วนตัวผม
ยังไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบ
เขตเดียวคนเดียว
อย่างเต็มที่นัก
แม้ว่าจะถูกต้องตามหลักรัฐศาสตร์
แต่ในโลกยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเป็นสหวิทยาการและการมองแบบองค์รวม
เพื่อให้เกิดความครบถ้วนในมุมมองมากยิ่งขึ้นในการดำเนินการเรื่องหนึ่ง
ๆ
ผมจึงอยากจะเพิ่มมุมมองในฐานะนักเศรษฐศาสตร์
ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า
“เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้ง
ส.ส.
แบบแบ่งเขตเรียงเบอร์
แล้ว
การเลือกตั้งแบบใด
ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากผู้แทนที่เขาเลือกมากกว่ากัน?”
มุมมองเศรษฐศาสตร์ในการเลือกผู้แทน
พื้นฐานความคิดของหลักเศรษฐศาสตร์จะตระหนักว่า
ทรัพยากรมีอยู่จำกัด
จึงจำเป็นต้องหาวิธีการจัดสรรทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
เพื่อให้สามารถสร้างอรรถประโยชน์สูงสุด
เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง
ส.ส.
ซึ่งเปรียบเสมือนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
จึงจำเป็นต้องหาวิธีเลือกตั้งที่เหมาะสมที่สุด
เพื่อให้ประชาชนจะได้รับอรรถประโยชน์สูงสุดจาก
ส.ส.
เหล่านี้
ผมได้ทำการวิจัยเมื่อปี
พ.ศ.2548
เรื่อง
“ผลกระทบของระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ตามรัฐธรรมนูญปี
พ.ศ.
2540
ที่มีต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย”
ศึกษาผลกระทบต่อระดับการเป็นตัวแทนประชาชนของ
ส.ส.
พบว่า
การแบ่งเขตเลือกตั้งให้เป็นแบบ
1
เขตมี ส.ส.
1
คน
ทำให้ระดับการเป็นตัวแทนประชาชนในระดับเขตลดลง
เพราะประชาชนในเขตเดียวกัน
แต่ไม่ได้เลือก
ส.ส.คนดังกล่าว
ย่อมไม่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
นอกจากนี้
พบว่า
การเลือกตั้งในลักษณะนี้
ทำให้ระดับความเท่าเทียมกันของการได้รับบริการทางการเมืองลดลง
เนื่องจากเขตเลือกตั้งแต่ละเขตมีจำนวน
ส.ส.
เพียงคนเดียว
ทำให้ประชาชนมีทางเลือกของนโยบายน้อยลง
เพราะผู้สมัครที่ตนเองเลือกกลับไม่ได้เป็นตัวแทนของตน
ผู้แทนในแต่ละเขตจะสะท้อนประโยชน์เชิงนโยบายของคนกลุ่มเดียวในเขตที่เลือกตนเข้ามา
ในขณะที่เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์
ในเขตที่ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนได้
2-3
คน
ประชาชนในเขตนั้นย่อมได้รับความพึงพอใจมากกว่า
เพราะสามารถได้ตัวแทนที่สะท้อนประโยชน์เชิงนโยบายของเขาได้มากกว่า
เช่น ได้
ส.ส.
ที่เป็นปากเสียงแทนกลุ่มของตน
รวมถึงการเพิ่มประเด็นทางนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของคนแต่ละกลุ่มมากขึ้น
ทางออก....แบ่งเขตเรียงเบอร์แบบเท่าเทียม
ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
ความเหมาะสมของรูปแบบการเลือกตั้ง
ส.ส.
จึงควรเป็นการผสานแนวคิดรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์
เสนอว่า
ควรเลือกแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์
โดยให้แต่ละเขตนั้นมีสัดส่วนจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกัน
อาจเป็น
450,000
คนต่อเขตพื้นที่
และเลือกผู้แทนได้ในจำนวนเท่ากัน
คือ
3
คน
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจทางนโยบายผ่านตัวแทนของตนมากขึ้น
เนื่องจากมีระดับความเป็นตัวแทนประชาชน
และระดับความเท่าเทียมกันทางการเมืองที่ดีกว่า
เพราะมั่นใจว่ามีตัวแทนของตนที่เป็นปากเสียงในสภาฯ
และมี ส.ส.
ที่ช่วยผลักดันให้เขตของตนได้ประโยชน์จากนโยบาย
มากกว่าการมี
ส.ส.แบบเขตเดียวคนเดียว
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
การพิจารณาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้
จะพิจารณาอย่างมีหลักการ
และพิจารณาในแง่มุมต่าง
ๆ
อย่างครบถ้วนรอบคอบ
เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
ทั้งในเรื่องของการใช้สิทธิเลือกผู้แทน
และการได้รับอรรถประโยชน์สูงสุดจากผู้แทนที่ตนเลือกเข้ามา
|