เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
กระทรวงการคลังมีแนวคิดผลักดันโครงการ
บ้านหลังแรก
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา
และมีเงินเดือนไม่เกิน
2
หมื่นบาท
ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังแรกในชีวิตราคาไม่เกิน
1
ล้านบาท
โดยให้กู้เงินอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ
5
ต่อปี
เป็นเวลา15
ปี
ซึ่งรัฐบาลจะแบกภาระดอกเบี้ยส่วนต่างจากนี้เอง
โครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ผ่านมาคือ
บ้านเอื้ออาทร
ที่มีกลุ่มเป้าหมายคือ
กลุ่มผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองที่ยังไม่มีอยู่อาศัยเป็นของตนเอง
โดยมีระดับรายได้ครัวเรือนละไม่เกิน15,000
บาทต่อเดือน
ซึ่งเป็นระดับรายได้ปี
2546
แต่
ผู้กู้ต้องรับภาระดอกเบี้ยลอยตัว
ทำให้สามารถคาดการณ์ถึงจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนได้ค่อนข้างยาก
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ทำให้ภาระการผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
จนกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้ประชาชนแทนที่การเอื้ออาทร
การต่อยอดโครงการบ้านเอื้ออาทรด้วยโครงการ
บ้านหลังแรก
นั้น
จึงดูผิดทิศผิดทาง
เนื่องจากกลุ่มคนที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรกเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างมีฐานะที่ดีกว่ากลุ่มคนที่ซื้อบ้านเอื้ออาทร
จึงน่าสังเกตว่า
เหตุใดรัฐจึงไม่เข้าช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่กู้เงินเพื่อมาซื้อบ้านเอื้ออาทร
ซึ่งกำลังมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้
ยิ่งไปกว่านั้น
โครงการนี้ยังไม่เป็นธรรมต่อผู้มีรายได้น้อย
เพราะรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนแก่ผู้ที่ซื้อบ้านเอื้ออาทรหลังละ
8
หมื่นบาท
แต่สำหรับโครงการบ้านหลังแรกนั้น
รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินมากกว่าในการช่วยเหลือให้ผู้จบการศึกษาใหม่มีบ้านเป็นของตนเอง
ทั้งๆ
ที่ผู้จบการศึกษาใหม่เพียงคนเดียวอาจจะมีรายได้ต่อเดือนมากกว่าครอบครัวที่ซื้อบ้านเอื้ออาทรทั้งครอบครัว
สมมติว่าผู้จบการศึกษาใหม่กู้ซื้อบ้านหลังละ
1
ล้านบาท
โดยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ
5 ต่อปี
และกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยของตลาดตลอดระยะเวลา
15
ปีอยู่ที่ร้อยละ
7.75
ต่อปีเท่ากับดอกเบี้ยในปัจจุบัน
รวมทั้งกำหนดผู้จบการศึกษาใหม่คนดังกล่าวมีรายได้เฉลี่ย
15,000
บาทต่อเดือน
และจ่ายชำระหนี้ประมาณ
5,000
บาทต่อเดือน
ผลการคำนวณพบว่า
รัฐบาลจะต้องชดเชยดอกเบี้ยตลอด
15
ปีให้กับคนดังกล่าวรวมกันถึง
239,250
บาท
ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนมากกว่าครอบครัวที่ซื้อบ้านเอื้ออาทร
การกำหนดนโยบายบ้านหลังแรก
แม้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการช่วยเหลือให้คนรุ่นใหม่มีบ้านอยู่อาศัย
แต่เมื่อพิจารณาลำดับความสำคัญและความเป็นธรรมในการจัดสรรงบเพื่อช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย
เราจะพบว่าการ
ลำดับความสำคัญผิด
และให้การอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้มีรายได้น้อย
เพราะรัฐบาลไม่ได้มีมาตรการช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้น้อยที่มีปัญหาในการผ่อนบ้านเอื้ออาทร
และยังให้การอุดหนุนผู้มีรายได้สูงกว่าด้วยจำนวนเงินมากกว่า
พฤติกรรมของรัฐบาลทำให้ผมนึกถึงบทวิเคราะห์ของ
ดร.สมเกียรติ
ตั้งกิจวาณิชย์
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ
ที่ระบุว่า
โครงการ
30 บาท
รักษาทุกโรค
ได้รับคะแนนนิยมมากแล้ว
จึงทำให้รัฐบาลไม่สนใจพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น
แต่จะนำงบประมาณไปสร้างนโยบายใหม่
เพื่อหาคะแนนนิยมมากกว่า
เช่นเดียวกับ
นโยบายบ้านหลังแรกที่เป็นการหาเสียงกับกลุ่มคนกลุ่มใหม่
โดยไม่สนใจว่านโยบายเดิมที่ได้ออกไปแล้วจะมีผลเป็นอย่างไร
เพราะรัฐบาลได้คะแนนเสียงจากโครงการบ้านเอื้ออาทรไปแล้ว
อัมมาร ชี้เศรษฐกิจใกล้ทางตัน จี้รัฐดันขีดแข่งขัน วาระแห่งชาติ กรุงเทพธุรกิจ (30 พ.ค. 2549) หน้า 3.
|