จะทำอย่างไรให้ต่างชาติลดกังวลกฎอัยการศึก
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เอกอัครทูตสหรัฐและสหภาพยุโรปออกมาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ยกเลิกกฎอัยการศึกโดยเร็ว และเสนอให้เร่งจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากห่วงว่าหากยังไม่รีบยกเลิกกฎอัยการศึกและเร่งคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน จะมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศไทย
ผมเห็นว่าหากไม่สามารถยกเลิกกฎอัยการศึก ก็ควรใช้นโยบายที่ผ่อนคลายเพื่อลดแรงกดดัน
เป็นธรรมดาที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจของคณะปฎิรูปฯ และอยากให้คณะมนตรีความมั่นคงประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก จากประเด็นนี้ เราน่าจะคิดในแง่บวกโดยไม่มองว่าประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ จะพยายามเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในหรือแสดงความเป็นประเทศมหาอำนาจ แต่มองว่าต่างชาติมีความหวังดีไม่อยากให้ภาพพจน์ประเทศไทยเสียหาย จึงเสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกษาดังกล่าวโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ความหวังดีดังกล่าวอาจจะส่งผลเสียหายต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ เนื่องจากอาจมีความเคลื่อนไหวจากกลุ่มอำนาจเดิมที่นิยมในระบอบทักษิณ ที่พยายามเคลื่อนไหวในบางพื้นที่ ซึ่งไม่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ จึงทำให้ทั้งต่างประเทศและประชาชนเข้าใจผิดว่าสถานการณ์เรียบร้อยดีแล้ว และตั้งคำถามว่า ทำไมจึงยังไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก
ผมเชื่อว่ารัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงมีความเข้าใจสถานการณ์ภาพรวมดี แต่การชะลอการยกเลิกกฎอัยการศึกออกไปจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันจากต่างประเทศ ขณะที่การประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกโดยที่สถานการณ์ใต้น้ำยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริงจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
อย่างไรก็ตาม คณะมนตรีความมั่นคงและรัฐบาลควรรับฟังข้อติติงและข้อเสนอแนะจากต่างชาติด้วยเช่นกัน เพราะหากยังมีกฎอัยการศึกอยู่ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างประเทศไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนหรือท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งจะทำให้เราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
ผมจึงเสนอว่า หากไม่สามารถยกเลิกกฎอัยการศึก ด้วยเหตุผลเรื่องความไม่สงบเรียบร้อยหรือเหตุจำเป็นอื่นที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างน้อยควรจะมีนโยบายที่ผ่อนคลายมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น อาจยกเลิกข้อจำกัดบางกรณีที่ไม่กระทบความต่อความสงบ เช่น การห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่5 คน ขึ้นไป หรือการแสดงความคิดเห็นและความเป็นอิสระทางวิชาการ ควรอะลุ่มอล่วยให้กระทำได้บ้าง
การใช้นโยบายที่ผ่อนคลายจะทำให้ลดแรงกดดันจากต่างชาติ และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วย